Black Friday วนกลับมาแล้ว! แต่ก่อนช็อปทั้งที ตั้งสติดีๆ ก่อนดีมั้ย ?
โดย : monosunday🐢
[สรุปฉบับย่อ]
- Black Friday วนกลับมาแล้วพี่ ๆ ที่จะตรงกับวันศุกร์ในวีคที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนเป็นประจำทุกปี
- เทศกาล Black Friday มีมาตั้งแต่ปี 1952 เป็นวันฉลองเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส
- ซึ่งที่มาของชื่อวันนี้ก็มาจาก เวลาคนออกไปช็อปปิ้งกันเยอะ ๆ ก็จะเกิดการแย่งชิงสินค้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ้างทะเลาะวิวาทบ้าง ก็เลยเรียกวันนี้ว่า “Black Friday”
- พอพูดถึงเรื่องช็อปปิ้ง ถ้าช็อปแบบไม่มีสติ เกินตัวไปก็ไม่ดีนะ ใครที่มีพฤติกรรมชอบซื้อของเยอะ ๆ แต่พอซื้อแล้วก็มานั่งรู้สึกผิด ระวังอาจจะเป็นโรค Shopaholic
- สำหรับใครที่อยากปรับพฤติกรรม ลองมาทำชาเลนจ์ “No Buy Month” และ “No-Spend Challenge” กันดูนะ คือลองงดช็อป ซื้อแค่ที่จำเป็นจริง ๆ ก็พอ
[บทความฉบับเต็ม]
กลับมาแล้วกับเทศกาล “Black Friday” ที่จะมาเจอะเจอกัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี แต่มีใครเคยสงสัยมั้ยว่า Black Friday จริง ๆ แล้ว คือวันอะไร ทำไมวันที่มีชื่อดูอึมครึมหม่นหมองแบบนี้ ถึงกลายมาเป็นเทศกาลลดกระหน่ำ ที่พาเราเสียเงินกันเฉยเลย ฮั่นแน่...เห็นแบบนี้แล้วนักช็อปทั้งหลาย กำลังรอกันอยู่เลยล่ะสิ แต่ ๆ เราลองซื้อของแค่ที่จำเป็นก็ได้นะ มาตั้งสติดี ๆ ก่อนช็อปจะดีกว่ามั้ย ลองมาอ่านกัน
Black Friday คืออะไร ?
จริง ๆ แล้ว เทศกาลนี้มาจากฝั่งอเมริกา ที่มีมานานตั้งแต่ปี 1952 แล้วนะ โดย “Black Friday” เค้าจะตรงกับวันศุกร์ในวีคที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน สำหรับปีนี้ก็ตรงกับวันศุกร์ที่ 29 นั่นเอง ซึ่งวันก่อนหน้าจะเป็นวันขอบคุณพระเจ้าด้วย (Thanksgiving) นี่ก็เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ทำให้วันนี้ กลายเป็นวันที่เหล่านักช็อปตัวตึงทั้งหลาย จะพากันออกไปใช้จ่ายกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฉลิมฉลองและเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสกัน
Black Friday ทำไมต้องชื่อนี้
เห็นชื่อหม่น ๆ หมอง ๆ แล้วกลายมาเป็นวันโปรดของหลาย ๆ คนแบบนี้ แน่นอนว่าก็ต้องมีที่มา อย่างแรกเลย พอเวลาทุกคนออกไปช็อปปิ้งกันเยอะมาก ๆ ใช่ปะ ก็หนีไม่พ้นที่จะเกิดเหตุการณ์แย่งชิงสินค้ากันได้ เพราะงานนี้บอกเลยว่าใครไวใครได้ 5555 ก็เลยอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุบ้าง หรือเหตุทะเลาะวิวาทกันได้ด้วย เค้าก็เลยเรียกวันนี้ว่า “Black Friday” นั่นเอง
แต่ถ้าใครนึกไม่ออก แนะนำให้ไปดูหนังเรื่อง Confessions of a shopaholic ที่นางเอกเลิฟการช็อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ และซีนที่ลืมไม่ลง ก็คงเป็นซีนที่นางเอกกับเหล่านักช็อป วิ่งกรูเข้าไปในงาน Sale แล้วแย่งชิงของกันนี่แหละ เดือดกันแบบเห็นภาพของที่มาคำว่า “Black Friday” เลยล่ะ
Black Friday มีอีก 1 ที่มานะ!
แต่ก็ยังมีอีกนึงเหตุผลนะ นั่นก็คือหลาย ๆ แบรนด์ ยอดขายอาจจะยังติดลบ ตัวเลขยอดขายยังเป็น “สีแดง” อยู่ เพราะงั้นถ้าอยากเพิ่มยอดขาย ก็ต้องทำให้ตัวเลขกลับมาเป็น “สีดำ” ให้ได้ ซึ่งวิธีก็คือการลดราคา ติดป้าย “Sale” สีแดงตัวโต ๆ ที่มองจากระยะ 100 เมตร ก็ยังเห็น! ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็คือการกระตุ้นยอดขายนั่นเอง นี่เลยกลายเป็นที่มาของชื่อ Black Friday ด้วยเหมือนกัน
แต่จะช็อปทั้งที...ตั้งสติดี ๆ ก่อนนะพี่ ๆ
ถึงแม้จะเป็นช่วง Black Friday แต่ก็อยากจะให้ทุกคนตั้งสติกันก่อนช็อปนะ ก็ไม่ใช่ว่าช็อปไม่ได้ แต่ลองซื้อเท่าที่จำเป็นดีกว่ามั้ย เพราะเราว่าต้องมีแหละ คนที่ชอบซื้อไปซะทุกอย่างเกินความจำเป็น แล้วก็ดั๊นไม่ได้ใช้ กลายเป็นว่าซื้อมาเก็บไว้วางอยู่ที่เดิม แล้วใครที่อยากจะซื้อของอยู่ตลอดเวลา รู้สึกดีที่ได้ซื้อ แต่พอสักพักก็จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาเพราะไม่น่าซื้อเลย ใครที่เป็นแบบนี้อยู่ ระวังอาจจะเป็นโรค Shopaholic ไม่รู้ตัวก็ได้นะ
เพราะงั้นลองมาดู เทรนด์ฮิตจากต่างประเทศกับชาเลนจ์ “No Buy Month” ซึ่งความหมายตรงตัวเลยคือ เดือนนี้จะไม่ซื้ออะไร ซึ่งชาเลนจ์นี้ มีขึ้นมาก็เพื่อที่จะช่วยให้เรามีวินัยในการใช้จ่ายไม่ให้ฟุ่มเฟื่อย หรือมีสติในการซื้อของ ไม่ให้เยอะเกินความจำเป็นของเรา แต่นอกจากเทรนด์นี้แล้วยังมี “No-Spend Challenge” ด้วยนะ เป็นเทรนด์จากประเทศเกาหลี เราว่าถ้าใครกำลังที่อยากจะเริ่มช็อปให้น้อยลง ก็มาลองทำชาเลนจ์พวกนี้ได้นะ คือไม่ได้บอกว่าให้หักดิบเลิกช็อป แต่ลองซื้อเท่าที่เราไหว เท่าที่จะใช้จริง ๆ จะดีกว่า เชื่อสิว่าไม่มีคอลเลกชันนี้เราก็ไม่ตุยหรอก...แต่ไม่มีเงินนี่สิแย่กว่า
👉🏻 อ้างอิงข้อมูล : https://ppro.pro/3XgoC9J , https://ppro.pro/3GmrdZE , https://ppro.pro/3GeRbNw , https://ppro.pro/3MXLbwl
โดย monosunday🐢
ชอบกิน รักการเขียน เลิฟเฟื่องฟ้า อยากดูหนังสืบสวน ดูอนิเมะทั้งวัน อิอิ