ยืนหนึ่งทุกสมัย ! McDonald's French Fries ของกินเล่นยอดขายทะลุฟ้า ชนิดที่ว่าใครก็เอาไม่ลง !

avatar writer
โดย : imnat
avatar writer17 มี.ค. 2566 avatar writer667
ยืนหนึ่งทุกสมัย ! McDonald's French Fries ของกินเล่นยอดขายทะลุฟ้า ชนิดที่ว่าใครก็เอาไม่ลง !

 

เมื่อพูดถึง McDonald's ทุกคนจะนึกถึงอะไรกันบ้าง ?

 

McDonald's แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูดสัญชาติอเมริกัน ที่ตอนนี้ครองใจผู้บริโภคไปแล้วทั่วโลก มีจุดเริ่มต้นมาจากสองพี่น้องตระกูล McDonald อย่าง Dick และ Mac ที่กำลังหาไอเดียในการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ หลังจากที่ล้มเหลวกับธุรกิจภาพยนตร์กันมา สองพี่น้องได้ตัดสินใจเริ่มต้นทำธุรกิจประเภท Drive-In Restaurant หรือร้านอาหารประเภทที่ให้ลูกค้าขับรถเข้ามาจอดในร้าน แล้วทำการสั่งอาหาร ก่อนที่จะนำอาหารเข้ามานั่งรับประทานกันในรถ

 

ซึ่งในสมัยนั้น รูปแบบของร้านในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เลยทำให้ธุรกิจใหม่ของสองพี่น้องตระกูล McDonald แลดูจะไปได้สวย ก่อนที่ทั้งสองคนจะสานต่อบริการด้วยการเปิดตัว Speedee Service System หรือระบบครัวแบบใหม่ ที่จะลดการใช้พื้นที่ภายในร้านลง ทำให้ระยะเวลา และขั้นตอนการประกอบอาหารนั้นเร็วขึ้น ซึ่งเรียกได้ว่าตอบโจทย์กับร้านอาหารประเภท Drive-In ที่ต้องอาศัยความเร็วในการบริการเป็นอย่างมาก

 

หน้าร้าน McDonald's รูปแบบ Drive-In ในยุคนั้น ภาพจาก Britannica

 

หลังจากเปิดตัวระบบครัวแบบใหม่ไป ปรากฏว่าทางร้านสามารถทำยอดขายได้มากกว่าที่เคยเป็นมา จนเริ่มต้นแผนการสร้างร้านแฟรนไชส์ต่อ  จากร้าน McDonald's 1 สาขา ก็เขยิบมาเป็น 9 สาขา จาก 9 สาขา ก็เขยิบมาเป็น 1,000 สาขา จนตอนนี้ McDonald's เป็นแบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 38,700 สาขา จนขึ้นแท่นแบรนด์ฟาสต์ฟูดทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกไปแล้วเรียบร้อย ที่สำคัญทาง McDonald's ได้ฟันสถิติทางการขายมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

 

  • แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่มีคนบริโภค 69 ล้านคนต่อวัน
  • แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่สามารถทำยอดขายเบอร์เกอร์ได้ 75 ชิ้น ภายใน 1 วินาที
  • แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่ทำยอดขายเฟรนช์ฟรายส์ทั่วโลกสูงถึง 9 ล้านปอนด์ต่อวัน 

 

ซึ่งแน่นอนว่า 'เฟรนช์ฟรายส์' เป็นเมนูที่สามารถทำยอดขายได้มากที่สุด

แถมยังได้รับความนิยมมากที่สุดของร้าน McDonald's ด้วย

 


 

 

แมคเฟรนช์ฟรายส์ ของกินเล่นที่ขายดีตลอดกาล

เคล็ดลับอะไรที่ทำให้แตกต่างจากร้านอื่น ?

 

กว่าจะเป็นเฟรนช์ฟรายส์แท่งเรียวยาว มีสีเหลืองทองอร่ามกำลังดี ยิ่งกินตอนร้อน ๆ กัดแล้ว Crispy หน่อย ๆ นี้ ขั้นตอนการทำเฟรนช์ฟรายส์สูตรเฉพาะของ McDonald's มีเคล็ดลับความอร่อยยังไงบ้าง ?

 

อันดับแรกก็เริ่มต้นจาก การคัดเลือกมันฝรั่ง โดยทาง McDonald's ได้ใช้มันฝรั่งลูกโต ๆ จากฟาร์มในประเทศสหรัฐอเมริกา มาล้างทำความสะอาด ปอกเปลือก ก่อนจะนำไปเข้าเครื่องหั่น เพื่อให้เฟรนช์ฟรายส์แต่ละชิ้นมีขนาดที่ได้มาตรฐานเหมือน ๆ กัน เมื่อเรียบร้อยแล้วทางโรงงานจะมีการนำมันฝรั่งที่หั่นแล้ว ลงไปแช่ด้วยสารเคมี 2 ชนิด ได้แก่ Dextrose และ Sodium Acid Pyrophosphate

 

  • Dextrose เป็นสารที่ให้ความหวานชนิดเดียวกันกับกลูโคส โดยได้มาจากข้าวโพด
  • Sodium Acid Pyrophosphate เป็นสารที่ช่วยลดระดับ Acrylamide ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยทำให้มันฝรั่งมีสีเหลืองสม่ำเสมอกัน

 

และแน่นอนว่า สารเคมีทั้ง 2 ชนิดนี้ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายกับร่างกายของมนุษย์เรา และหลังจากนำมันฝรั่งไปแช่ด้วยสารเคมีทั้ง 2 ชนิดเป็นที่เรียบร้อย มันฝรั่งทุกชิ้นจะถูกนำมาทอดก่อนเบื้องต้น โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที เพื่อเป็นการรักษาสภาพของมันฝรั่ง อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสเกิดของแบคทีเรีย  เมื่อเสร็จเรียบร้อย มันฝรั่งทั้งหมดจะถูกนำไปแช่แข็ง ก่อนที่จะนำไปจัดส่งยังร้านแมคโดนัลด์สาขาต่าง ๆ ต่อไป

 

 

เมื่อกองทัพมันฝรั่งแช่แข็งเดินทางมาถึงร้านแมคโดนัลด์สาขาต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ก็จะถูกนำมาทอดด้วยความร้อนสูง จนได้มันฝรั่งทอดหรือเฟรนช์ฟรายส์ที่มีสีเหลืองทองน่ารับประทาน เสร็จเรียบร้อยก็จะถูกตักขึ้นมาพักไว้ โรยด้วยเกลือนิดหน่อย ก่อนที่จะถูกนำไปจัดเสิร์ฟต่อไป

 

ซึ่งน้ำมันที่ใช้ในการกระบวนการทอดเฟรนช์ฟรายส์นั้น ทาง McDonald's ได้ใช้เวลาในการทำการบ้าน เป็นเวลานานกว่า 7 ปี  จากเดิมที่ใช้น้ำมันจากสัตว์ในการทอด ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นน้ำมันทางเลือกอื่น ๆ แทน ซึ่งความท้าทายของ McDonald's  ก็คือ การเลือกน้ำมันที่ให้รสชาติของเฟรนช์ฟรายส์ที่คล้ายคลึงกับการใช้น้ำมันจากสัตว์ทอด ซึ่งผลสรุปสุดท้ายที่ออกมา ก็ได้ตกไปอยู่ที่ น้ำมัน Canola ซึ่งเป็นน้ำมันที่ได้มาจากพืช มีไขมันต่ำ ก่อนจะใส่ส่วนผสมเพื่อทดแทนรสชาติของไขมันสัตว์ อย่าง Hydrolyzed Milk และ Hydrolyzed Wheat เพื่อให้รสชาติของมันฝรั่งที่ออกมา มีความคล้ายคลึงกับของเดิมมากที่สุด

 

นอกจากนั้นแล้ว 'ระยะเวลาในการจัดเสิร์ฟ' ยังมีผลต่อรสชาติของเฟรนช์ฟรายส์ด้วยเช่นกัน

โดยกฏนั้นถูกเรียกว่า 7-Minute Rules 

 

7-Minute Rules หรือกฏ 7 นาที เป็นกฏที่ทาง McDonald's เชื่อว่า เฟรนช์ฟรายส์จะมีรสชาติที่ดีที่สุด เมื่อได้รับประทานภายใน 7 นาที  หรือเอาง่าย ๆ คือในระยะเวลา 7 นาทีนี้ เฟรนช์ฟรายส์ของเราจะเป็นเฟรนช์ฟรายส์ที่อร่อยที่สุด ซึ่งกฏ 7 นาทีที่ว่า ยังไม่รวม ระยะเวลาในการทอดเฟรนช์ฟรายส์ต่อออเดอร์นะ ซึ่งโดยปกติแล้ว ระยะเวลาในการทอดจะอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีครึ่ง

 

 

หลังจากทอดเฟรนช์ฟรายส์เสร็จเรียบร้อย เฟรนช์ฟรายส์ก็จะถูกตักเสิร์ฟมาให้เรา โดยให้เราเริ่มนับ 1 ตั้งแต่ตอนนั้น  ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ขั้นตอนการเสิร์ฟเป็นต้นไป จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ลิ้มรสชาติของ เฟรนช์ฟรายส์ที่อร่อยที่สุด  ซึ่งถ้าเกิน 7 นาทีไปแล้ว เฟรนช์ฟรายส์ของเราก็จะค่อย ๆ อ่อนตัวลง จนในที่สุดรสชาติของมันก็อาจจะ 'ไม่จึ้ง' เหมือนตอนแรกที่ได้มา

 

อย่างหน้าร้านบางสาขาที่มีออเดอร์เข้ามามาก ๆ อาจจะมีการตักขึ้นมาเตรียมไว้ให้กับลูกค้าก่อน แต่ถ้าระยะเวลาในการเตรียมไว้ให้กับลูกค้านั้นได้เกิน 7 นาทีไปแล้ว ทางร้านก็จะนำเฟรนช์ฟรายส์เหล่านั้นไปเคลียร์ทิ้ง เนื่องจากรสชาติไม่ได้มาตรฐาน แต่โดยส่วนมากแล้ว ถ้าออเดอร์ไม่เยอะจริง ๆ หรือไม่ได้อยู่ในช่วงโปรโมชันจริง ๆ ทางร้านมักจะทอดให้เราใหม่ ๆ ไม่ค่อยทำทิ้งไว้สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสายกินทั้งหลายสบายใจได้

 


 

 

อาศัยแค่วิธีการอย่างเดียวไม่ได้ แต่แมคเฟรนช์ฟรายส์ยังต้องอาศัยเทคนิคอื่น ๆ ร่วมด้วย !

 

ยังไม่หมดแค่นั้น นอกจากขั้นตอนการทำแล้ว McDonald's French Fries ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเฟรนช์ฟรายส์กันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

 

  • การปรับแต่งรสชาติของเฟรนช์ฟรายส์ให้ไม่น่าเบื่อ เป็นเทคนิคเบื้องต้นที่ทาง McDonald's ได้สรรหามาสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับการกินของลูกค้า ด้วยการเติมแต่งรสชาติอันแปลกใหม่ให้กับตัวเฟรนช์ฟรายส์ กับบรรดาสารพัดดิปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ซอสมะเขือเทศ, ซอสพริก, ชีส, ซาวครีมและหัวหอม, อิตาเลียน, คลาสสิกมาโย ฯลฯ ที่สลับสับเปลี่ยนมาสร้างประสบการณ์ในการ 'กินคู่' เฟรนช์ฟรายส์ใหม่ ๆ ที่ทำให้เหล่าลูกค้าทั้งหลาย มีอย่างที่ไหน จะเบื่อการกินแมคเฟรนช์ฟรายส์ได้ลง ! 


  • ศาสตร์การใช้กลิ่น นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า 'กลิ่น' มีผลต่อการรับรู้รสชาติของเราได้มากถึง 90%  นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เวลาที่เราเดินผ่านร้านอาหาร หรือพวกร้านเบเกอรี เรามักจะโดนตกตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้กลิ่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปเหยียบในร้านเลยด้วยซ้ำ

    แต่ความแตกต่างระหว่างกลิ่นหอมของเฟรนช์ฟรายส์ กับกลิ่นหอมของอาหารและเบเกอรี จะอยู่ที่ 'ความสลับซับซ้อนของกลิ่น' อย่างถ้าเป็นกลิ่นของอาหาร ก็จะเป็นกลิ่นของอาหารจานนั้นตรง ๆ แบบชนิดที่ว่า ได้กลิ่นแล้วรู้ว่าคืออะไร แต่ทว่ากลิ่นของเฟรนช์ฟรายส์ มันจะเป็นกลิ่นอะไรไปไม่ได้นอกจาก 'น้ำมัน'

 

 

 

ซึ่งถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพขึ้นมาอีกนิด มีใครเป็นไหม เวลาที่เราขับรถเข้าไปจอดในปั้ม แล้วแว๊บนึง เรามีความรู้สึกว่ากลิ่นของน้ำมันที่ลอยมา มันหอม อาจจะไม่ได้ชวนให้กินขนาดนั้น แต่มันเป็นกลิ่นที่ทำให้เรารู้สึกดี ซึ่งปฏิกริยาการตอบสนองของเรากับน้ำมันที่ใช้ทอดเฟรนช์ฟรายส์ ก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน แต่ความโชคดีของเฟรนช์ฟรายส์ คือมันไม่ได้อาศัยแค่กลิ่นอย่างเดียว  แต่มันยังรวมไปถึงหน้าตา และรสชาติ ที่เรากำลังจะพูดถึงกันหลังจากนี้ด้วย


  • การผสมผสานกันของเกลือ น้ำตาล และไขมัน ต่อให้กลิ่นจะสามารถดึงดูดใจเราเป็นอันดับแรกได้ก็จริง แต่ทั้งนี้ภาพลักษณ์ รวมไปถึงรสชาติของอาหารก็ต้องได้ด้วย โดยเฉพาะสิ่งสำคัญอย่าง 'รสชาติ' ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาการกลับมา 'ซื้อซ้ำ' ของลูกค้า ว่าจะให้ไปต่อ หรือพอแค่นี้

    นอกจาก McDonald's จะให้ความสำคัญกับขั้นตอนการเตรียมอาหารเบื้องต้นแล้ว McDonald's ยังมีการใช้ เทคนิคในการสร้างสรรค์รสชาติ ที่จะทำให้ลูกค้าอย่างเรา ๆ หนีไปไหนกันไม่รอด ด้วยการอาศัย 3 องค์ประกอบหลัก ที่เป็นส่วนผสมแห่งความสุข  ไม่ว่าจะเป็น เกลือ น้ำตาล รวมไปถึงไขมัน

    Howard Moskowitz นักวิจัยการตลาดและนักจิตฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ได้ขยายความคำว่า 'ส่วนผสมแห่งความสุข (Bliss Point)' หรือแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างสมดุลของส่วนผสม ที่จะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับการรับประทานอาหารของเราเอาไว้ว่า 

 

Bliss Point เป็นกฏตายตัวที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร

โดยเป็นจุดที่ 'ระดับความเค็ม ความหวาน และความเข้มข้น' ของอาหารอยู่ในระดับที่พอดี

สามารถทำให้เราเกิดความอยากอาหาร และเสพติดอาหารขึ้นมาได้

 

และไม่ใช่แค่นั้น เมื่อเราเกิดความอยากอาหาร บวกกับได้รับประทานอาหารเข้าไปแล้ว ระดับของสมดุลที่ว่า จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจในรสชาตินั้น ๆ  ซึ่งความพึงพอใจก็จะส่งผลทำให้สมองหลั่งสารที่มีชื่อว่า โดพามีน หรือสารแห่งความสุขออกมา ทำให้ตัวเราเกิดความเพลิดเพลินในการกินมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการเสพติดการกินอาหารชนิดนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 

  • รูป รส และกลิ่น อาจจะยังไม่เพียงพอ ของแบบนี้ก็ต้องเสริมทัพด้วยโปรโมชัน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเคยตกเป็นทาสการตลาดของแมคเฟรนช์ฟรายส์ในช่วงโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 รวมไปถึงลด 50% กันมาแล้ว ซึ่งบรรดาโปรโมชันส่งเสริมการขายเหล่านั้น เป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ รวมไปถึงหน้าเดิม ๆ ที่อยากจะได้ความคุ้มค่าแบบจุใจ ให้วนเวียนกลับมาอุดหนุนแมคเฟรนช์ฟรายส์กันได้อยู่เรื่อย ๆ

โดยเฉพาะลูกค้าหน้าใหม่ กับความกล้าที่จะเปิดใจให้กับการ 'ซื้อครั้งแรก'

 

ซึ่งเมื่อทางร้านสามารถตกลูกค้าได้ในขั้นที่หนึ่งแล้ว โอกาสที่จะมีครั้งที่สอง และครั้งที่สามตามมาก็จะยิ่งง่ายขึ้น แต่อย่างที่บอกไปว่าการที่จะกลับมาซื้อครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แค่โปรโมชันอย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะถ้าความประทับใจในครั้งแรกเป็น 0 มันก็สามารถลดโอกาสของการวนกลับมาซื้อใหม่ได้เหมือนกัน

แต่ด้วยความที่ว่าทาง McDonald's ได้ใส่เกราะป้องกันให้ตัวโปรดักส์อย่างแมคเฟรนช์ฟรายส์เอาไว้หลายด้าน  เลยทำให้แมคโดนัลด์สามารถเอาตัวรอด และกล้าลงทุนกับโปรโมชันส่งเสริมการขายที่ทรงอิทธิพลอย่างนี้ได้ !

 


 

💭  McDonald's French Fries เป็นหนึ่งในรายการอาหารที่มีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นสร้างแบรนด์เลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นเมนูของกินเล่นที่สามารถสร้างยอดขายให้พุ่งกระฉูดได้ทุกไตรมาส กินสัดส่วนของยอดขายไปแล้วกว่า 75% และต่อให้จะไม่ต้องพึ่งพาช่วงเวลาจัดโปร แต่แมคเฟรนช์ฟรายส์ก็ยังสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้แมคเฟรนช์ฟรายส์ได้ทำออกมาวางขายทั้งหมด 3 ไซซ์ คือ ไซซ์ M , L และ XL มีราคาขายอยู่ที่ 79.- 89.- และ 99.-

 

แต่บางช่วงอาจจะมีการทำไซซ์พิเศษออกมา อย่าง 'ปาร์ตี้ไซซ์ XXXL'  แล้วไหนจะมีสารพัดดิปให้เลือกหยิบมาแมทช์กับเฟรนช์ฟรายส์ เพื่อสร้างประสบการณ์การกินใหม่ ๆ ให้ตัวเองกันอีก หรือใครจะเป็น #ทีมNoดิป แบบเราก็ไม่ผิด เพราะแค่เฟรนช์ฟรายส์อย่างเดียว ก็สามารถทำให้ใครหลายคน 'ฟินน้ำลายหก' กันได้แล้ว !

 

แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นยังไงกับของกินเล่นที่ยืนหนึ่งทุกสมัยอย่างแมคเฟรนช์ฟรายส์นี้กันบ้าง ?  คิดว่าสมกับการเป็นของกินเล่นที่ I'm lovin' it !  กันไหม ไหน คอมเมนต์เข้ามาพูดคุยกันหน่อยซิ 🍟 😋 

 


 

อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง : mcdonaldsalltopeverything, zippia, mashed, rd และ tasteofhome

  • avatar writer
    โดย imnat
    เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)
แสดงความคิดเห็น
Micky
Micky
ก็ค่ายลุงหนวดขาว โปรไม่ว้าวเลยสักกะโปรอ่ะ
ตอบกลับ | 2 ปีที่แล้ว 0