ตอบโจทย์สายลงทุน ! "วางแผนใช้เงิน 200 ล้านยังไง" ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด
โดย : imnat
วันนี้มาแปลก อยู่ดีๆ ก็มาชวนคุยเรื่องเงิน 200 ล้านซะงั้น 😅
เชื่อแหละว่าคนส่วนใหญ่ที่เปิดเข้ามาก็คงจะมีคำถามขึ้นมาในหัวแล้วว่า เอาดีๆ คิดว่าเงิน 200 ล้านจะหาง่ายขนาดนั้นเชียวหรอ ? หรือบางคนอาจจะคิดว่า ถ้ามีเงินถึง 200 ล้านจริงๆ ณ จุดนั้นคงไม่ต้องมานั่งคิดแล้วมั้งงง (เสียงสูง) ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร
อย่าเพิ่งหัวร้อนกันไป เพราะเราแค่อยากจะมาแนะนำเวย์ในการบริหารเงินที่น่าสนใจ สมมุติว่าเราเกิดสะสมเงินได้ก้อนนึงขึ้นมา (ไม่จำเป็นต้องถึง 200 ล้านก็ได้) เราควรจะนำเงินจำนวนนั้นไปทำอะไร ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด รวมไปถึงเราจะพาทุกคนไปสำรวจกิจกรรมของนักลงทุน ว่าในช่วงโควิดนี้ ควรนำเงินไปลงทุนกับอะไรดีถึงจะเหมาะ
แล้วขอย้ำไว้ตั้งแต่ตรงนี้เลยว่า เราไม่ได้ต้องการจะมาขายของหรืออะไรนะ แค่อยากจะมาแนะนำแนวทางที่น่าสนใจ อารมณ์เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเฉยๆ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจ หรือใช้วิธีนี้ในการบริหารเงินของตัวเองกันอยู่แล้ว ก็สามารถแนะนำกันเข้ามาได้ เราเปิดโอกาสให้เต็มที่เลยยยย 😉
เรื่องของเงินทองไม่เข้าใครออกใคร การเก็บเงินก็เช่นกัน
อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า เรื่องของการเก็บเงิน เป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคลมากๆ มันไม่มีใครหรอกที่จะมายืนชี้นิ้วสั่งคนอื่น ว่าควรจะต้องนำเงินไปใช้กับอะไร หรือมีข้อห้ามไม่ให้เราใช้เงินกับอะไรบ้าง เอาง่ายๆ ว่าอำนาจในการใช้เงิน ก็อยู่ที่คนถือเงินล้วนๆ ต่อให้เราจะแนะนำ หรือให้ความเห็นว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับอำนาจการตัดสินใจของคนๆ นั้นอยู่ดี
ส่วนตัวเรามองว่าอำนาจการใช้เงิน มันก็เหมือนกับค่าเหนื่อยเหมือนกันนะ คือกว่าคนๆ นึงจะหาเงินมาได้ พวกเค้าต้องลงทุนลงแรงกับอะไรตั้งเยอะ อย่างมนุษย์เงินเดือนก็ต้องทุ่มเทสุดๆ ให้กับการทำงาน บางคนถึงขนาดยอมอดหลับอดนอน สร้างผลงานให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเรามีความสามารถ ซึ่งความสามารถที่แสดงออกไปนั้น ก็อาจจะนำพามาด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น การยอมรับ หรือชื่อเสียงในสถานที่ทำงานที่มากขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นเหมือนการลงทุน (ผ่านความสามารถ) ในการนำมาซึ่งรายได้นั่นเอง
มันไม่มีใครหรอกที่จะไม่มีเป้าหมายอยู่ในหัว คนเราทำอะไรมันต้องมีเป้าหมาย อาทิ เรามีแพลนว่าอยากจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ดังนั้นเราจึงมีเป้าหมายในการเก็บเงินของเราแล้วว่า เราจะต้องเก็บเงินให้ได้จำนวนเท่านี้ๆ เราถึงจะสามารถจ่ายค่าเรียน รวมถึงค่าที่พักระหว่างอยู่ที่ต่างประเทศได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนนะที่จะมีเป้าหมายในการเก็บเงิน
ตรงข้ามกัน ในคนที่ไม่มีเป้าหมายหรือแรงจูงใจในการเก็บเงินเลย (ยกตัวอย่างเช่นเราในบางครั้ง) พอไม่มีเป้าหมายอ่ะทุกคน มันทำให้เราใช้จ่ายแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด สุดท้ายแล้วเป็นไง ขาดสภาพคล่องทางการเงินขึ้นมาซะงั้น หรืออย่างบางคนคือเก็บเงินไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมายในการเก็บ เก็บได้ก็เก็บ เก็บไม่ได้ก็ไม่เก็บ 😅 พอขาดเป้าหมายแบบนี้มันเลยทำให้จากจำนวนเงินที่เราสามารถต่อยอด หรือเพิ่มมูลค่าให้กับมันได้ กลับกลายเป็นไม่ได้อยู่ในสายตา คือรู้ว่ามี แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร สำหรับใครที่กำลังขาดเป้าหมายในการเก็บเงินของตัวเองกันอยู่ รีบปลุกตัวเองขึ้นมาด่วนๆ
สำรวจกันหน่อย ตอนนี้อะไรน่าลงทุนบ้าง ?
สำหรับคนที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนอยู่แล้วคงจะไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยลงทุนอะไร แต่มีความสนใจอยากจะต่อยอดเงินจำนวนหนึ่งของเรา ให้ได้ผลตอบแทนอะไรขึ้นมา เราขอแนะนำรูปแบบของการลงทุนที่เรียกว่า Play Safe
Play Safe ในที่นี่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรเลยทุกคน เราแค่สรรหาคำมาอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจและมองเห็นภาพกันง่ายๆ เฉยๆ ซึ่งการลงทุนแบบ Play Safe นี้ก็คือ การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ขึ้นชื่อว่าเป็นมือใหม่การจะเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหุ้น บิทคอยน์ หรือคริปโต เราขอเบรกและออกตัวแบบแรงๆ ก่อนเลยว่า อาจจะยังไม่เหมาะ
เพราะการลงทุนในรูปแบบนี้ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ แต่เราจะต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในระดับนึงแล้วด้วย จะให้เดินดุ่มๆ เข้าไปเลย ผลลัพธ์ที่ได้ มันอาจจะไม่ตรงตามที่เราคาดหวังเอาไว้แน่นอน ดังนั้นเราเลยอยากให้ทุกคนหันมามองอะไรที่มี ความเสี่ยงน้อย ลงทุนได้ยาว ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมาก ได้เรื่อยๆ แต่มั่นคง
❤️ ลงทุนกับอสังหาและที่ดิน มั่นคง แถมยังให้ผลตอบแทนเกินกว่าที่คิด !
ประเดิมกันด้วยเวย์ที่หลายคนมักจะมองข้ามกันเยอะมาก แต่เรามองว่าเป็นเวย์ที่ Play Safe อยู่เหมือนกัน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากในคนวัยผู้ใหญ่สัก 30 ตอนปลาย ไปจนถึงผู้สูงอายุที่เกษียณออกมาแล้วอยากจะหารายได้นิดๆ หน่อยๆ ให้กับตัวเอง ซึ่งจะบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถ สร้างรายได้ให้กับเราได้เรื่อยๆ แม้จะไม่มาก แต่ทว่าสม่ำเสมอ
ซึ่งวิธีที่ว่าก็มีตั้งแต่ซื้อบ้าน หรือห้องในคอนโดแล้วปล่อยให้เช่า หรือจะซื้อเป็นที่ดินเปล่าๆ เก็บไว้ พอที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อไหร่ก็ค่อยประกาศขายเอากำไรในภายหลัง แต่เห็นว่า Play Safe แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยไร้ความเสี่ยงเลยนะ คือความเสี่ยงมันมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอะไรก็ตาม เพียงแต่ว่าเปอร์เซ็นต์ตรงนี้มันอาจจะน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนที่ผันผวนอย่างหุ้น
แต่ก่อนที่เราจะซื้อ จะต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นกันให้ดีซะก่อน รวมถึงจะต้องมีภาพในหัวก่อนแล้วว่าเราจะซื้อมันไปเพื่ออะไร ถ้าให้เช่า จะปล่อยให้เช่าเดือนละเท่าไหร่ คืนทุนได้ในระยะเวลากี่ปี ถ้าเป็นที่ดินก็ให้ศึกษารายละเอียดพื้นที่ตรงนั้นให้ดี ว่าพอจะมีโอกาสในการทำกำไรไหม ทำเลที่เราสนใจเป็นทำเลทองในอนาคตหรือเปล่า เป็นต้น
❤️ ลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาล ปลอดภัย แถมยังได้ดอกเบี้ยสูง
การลงทุนด้วยพันธบัตรรัฐบาลนั้น เห็นเงียบๆ แต่คนแห่ไปลงทุนเพียบเชียวนะ วิธีนี้ก็เหมือนกับการฝากเงินในบัญชีธนาคารนั่นแหละ แต่จะมีข้อแตกต่างก็คือ การลงทุนด้วยวิธีนี้จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่มากกว่าการฝากประจำ แต่มีข้อแม้นะว่าห้ามถอนก่อนระยะเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับเงินคืน
ส่วนวัตถุประสงค์ของพันธบัตรรัฐบาลนี้จัดทำขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการบริหารประเทศ อารมณ์เหมือนเป็นการนำเงินของเราไปหมุนเวียน จนกว่าจะครบตามสัญญา ซึ่งเราไม่ต้องกังวลนะว่าเงินของเราจะหาย หรือจะได้คืนหรือเปล่า ก็คือได้คืนชัวร์ๆ แต่เราต้องยอมรับเงื่อนไขให้ได้ด้วยว่า เราจะต้องห้ามถอนเงินจำนวนนั้นก่อนระยะเวลาที่กำหนด
วิธีการลงทุนแบบนี้เหมาะกับใคร เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้มีแพลนในการใช้เงินในระยะเวลาอันสั้น คือสามารถนำเงินไปฝากไว้ที่นึงได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ก่อนกำหนด ไม่เหมาะกับคนที่มีภาระหนี้สิน เพราะเราต้องห้ามลืมกันไปว่า เมื่อลงทุนพันธบัตรรัฐบาลไปแล้วเราจะไม่สามารถที่จะถอนก่อนกำหนดได้ โดยประเภทของพันธบัตรก็มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ปี 10 ปี และ 15 ปี (ขึ้นอยู่กับประเภทของพันธบัตร) ส่วนจำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับนั้นมีอัตราสูงถึงร้อยละ 3.00 ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแบบขั้นบันได ค่อยๆ ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะครบตามสัญญาที่กำหนด
👉🏽 สำหรับใครที่สนใจอยากจะอ่านรายละเอียดของพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติม > คลิก
❤️ ลงทุนกับการฝากประจำ มั่นคง แถมยังได้ดอกเบี้ย
เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เบสิค แต่ทว่ามั่นคง โดยรูปแบบของดอกเบี้ยเงินฝากประจำเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งแบบปลอดภาษี, ฝากประจำดอกเบี้ยสูง ฯลฯ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกฝากเงินกับธนาคารอะไร บางธนาคารดอกเบี้ยสูงก็จริง แต่เป็นดอกเบี้ยแบบขั้นบันได คือจะค่อยๆ กระเถิบขึ้นไปเรื่อยๆ หรือบางธนาคารสวนทางกัน คือแรกเริ่มได้เยอะก่อน แล้วค่อยๆ ลดลงๆ จนมาอยู่ในอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน ไม่เพิ่ม ไม่ลดไปมากกว่านั้นอีก
แต่ก่อนที่เพื่อนๆ จะฝากเงินก้อนใหญ่ที่ธนาคารไหนกัน อย่าลืมเช็กเงื่อนไขกันก่อนด้วยว่าดอกเบี้ยที่จะได้รับสูงสุดนั้นอยู่ในอัตราเท่าไหร่ ทางธนาคารมีกำหนดยอดเงินฝากไหมว่าให้ได้มากสุดเท่าไหร่ หรือใครจะใช้วิธีแบ่งฝากไปในหลายๆ ธนาคารก็ได้เหมือนกัน วิธีนี้ถึงแม้จะดูเบสิค ดูได้ผลตอบแทนน้อยสุด แต่ก็เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะใครที่มีวินัยในการฝากเงินสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งทำให้เรามีจำนวนเงินออมเพิ่มมากขึ้นด้วย (อย่าไปแอบกดซะก่อนล่ะ 😅 )
ลงทุนกับหุ้นดีไหม รู้ว่าเสี่ยงเกินไป แต่อยากลอง
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการลงทุนจำพวกหุ้น ความเสี่ยงจริง แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็สูงเช่นกัน แต่ก่อนจะไปลงทุนกัน เพื่อนๆ เคยได้ยินกันไหม ว่าอย่าเอาเงินไปลงทุนกับอะไรที่เราไม่มั่นใจ อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีข้อมูลก่อน เพราะถ้าเสียแล้ว เสียเลย ไม่มีทางนำเงินกลับคืนมาได้ ซึ่งบรรดาการลงทุนที่เราแนะนำไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีความเสี่ยงเลยนะ เพราะการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง เพียงแต่ว่าการลงทุนที่เราแนะนำไป เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับน้อย - ปานกลาง
สวนทางกันกับหุ้น บิทคอยน์ และคริปโต เราไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะ คือคนที่ได้เค้าก็ได้จริงๆ แล้วได้เยอะเลยด้วย แต่ถ้าเราไม่มีความรู้และความสามารถที่มากพอ เรากลัวว่าจากอะไรที่ควรจะได้ จะกลายเป็นเสียซะก่อนน่ะสิ
แต่ถ้าใครอยากลองดูสักตั้ง อ่ะ อันนี้เราก็ห้ามกันไม่ได้ อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าอำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือของคนที่ถือเงิน แต่เราแค่อยากจะแนะนำคร่าวๆ ว่า ถ้าคิดจะลงทุน ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลกันให้เป๊ะก่อน อาศัยหาข้อมูลจากคนที่เค้าลงทุนแล้วได้ กับลงทุนแล้วเสีย เพราะเงินจำนวนเยอะแบบนี้ ถ้าความรู้เราไม่แน่น โอกาสของการได้กำไรก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย
แล้วถ้าจะลงทุน ให้เริ่มจากการลงทุนน้อยๆ ก่อน ซึ่งจะต้องเป็นจำนวนเงินที่ถ้าสมมุติว่าเราจะต้องเสียเงินจำนวนนั้นไป (แบบไม่ได้อะไรกลับมาเลย) เราจะต้องรับได้ นี่ไม่ได้จะแช่งให้ทุกคนเสียเงินกันนะ เผื่อจ่ะ เราพูดเผื่อไว้ก่อน 😅 แล้วก็ให้ศึกษาพวกความผันผวนอะไรพวกนี้ให้ดี เพราะการลงทุนบางอย่างมีความผันผวนสูงมาก ก็นั่นแหละ ลองศึกษากันดูดีๆ แล้วขอย้ำอีกทีว่า การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงหมดนะจ๊ะ
สมมุติเราเก็บเงินได้ก้อนนึง จะบริหารจัดการเงินก้อนนั้นยังไงดี ?
ความพึงพอใจของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน คนนึงอาจจะพอใจกับการเก็บเงินแบบนี้ แต่อีกคนอาจจะไม่ได้ชอบวิธีการเก็บเงินแบบนี้ก็ได้ ทุกอย่างเลยเป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคลมากๆ ดังนั้นจากที่เราจะมาบอกให้ทุกคนใช้เงินแบบนี้ ลงทุนกับอะไรแบบนี้ เราเลยขอเปลี่ยน มาแนะนำไอเดียในการเก็บเงินยังไงที่จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุดกันดีกว่า
รู้แหละว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้จริงๆ ที่ไม่เถียงเพราะมันเป็นเรื่องจริง 😂 แต่บางครั้งหลังจากที่เราจ่ายเงินซื้อความสุขนั้นๆ มาแล้ว ผลสุดท้ายของมันอาจจะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขอย่างที่เราคิดกันไว้น่ะสิ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราอยากได้ของชิ้นนึงมากๆ เป็นของที่อยากได้มากนาน ใกล้จะถึงวันเกิดตัวเองแล้ว ไหนๆ โอกาสกำลังดี เลยขอซื้อให้ตัวเองเลยแล้วกัน
ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน ใบแจ้งยอดบัตรเครดิตมาส่งที่บ้าน แล้วมีกำหนดชำระภายใน 3 วัน ซึ่งเงินจำนวนนั้น มันคือจำนวนเงินเกือบจะเท่าๆ กันกับของชิ้นที่เราเพิ่งจะได้ซื้อไป งานนี้จากที่เราควรจะต้องมีความสุข กลับกลายเป็นว่าเราจะต้องไปหาเงินก้อนใหม่ มาจ่ายหนี้ก้อนเก่าที่ตัวของเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้เค้าเรียกกันว่า Retail Therapy หรือการช็อปบำบัด ที่ไม่ได้บำบัดตัวของเราจริงๆ
แต่ไม่ได้แปลว่าการซื้อของเพื่อความสุขของตัวเองจะเป็นเรื่องที่ผิดนะ แต่เราควรจะต้องประเมินสถานการณ์ทางการเงินของเรากันก่อน ว่าตอนนี้เรามีหนี้สินอะไรอยู่เยอะไหม หรือถ้าเราซื้อของชิ้นนี้ไปแล้ว เงินของเราจะเหลือเท่าไหร่ หรือจะกลั้นใจไว้ก่อน รอให้เก็บเงินได้มากกว่านี้แล้วค่อยให้รางวัลตัวเองจะดีไหม
แล้วถ้าสมมุติเราเก็บหอมรอมริบจนได้เงินก้อนใหญ่มาแล้วจริงๆ เราควรจะจัดสรรเงินจำนวนนั้นไปกับอะไรบ้าง เราสรุปรายละเอียดมาให้แล้ว มาอ่านเพื่อใช้เป็นแนวทางบริหารเงินของตัวเองกันนะ !
- ก่อนจะไปแบ่งสรรปันส่วนเงิน อันดับแรกเราจะต้อง ประเมินค่าใช้จ่ายแค่ละเดือนของเรากันก่อน ว่ารวมๆ แล้ว เรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ แล้วเราจะต้องเตรียมเงินส่วนนี้เผื่อไว้นานแค่ไหน ถึงจะพอเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวไปให้ได้สักพักใหญ่ๆ (แต่ไม่ใช่ว่าระหว่างนั้นเราจะไม่ทำอะไรเลยนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง ถ้าเรายังมีความรู้ความสามารถอยู่ ก็ให้ใช้ความรู้ ความสามารถพวกนั้นในการหาเงินก้อนใหม่เข้ามาในกระเป๋าซะ)
- การเตรียมเงินสำรองไว้สำหรับช่วงวิกฤต ให้คิดซะว่าไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตคนเรา วันนึงมีได้ วันนึงก็ขาดได้ ซึ่งเงินจำนวนนี้จะต้องเป็นเงินจำนวนที่เราคิดว่าจะสามารถ ตั้งตัวได้ ในกรณีที่เราไม่เหลืออะไรแล้ว ให้เก็บเงินจำนวนนี้ไว้ แล้วห้ามแตะต้องอะไรกับเงินส่วนนี้อีก
- ลงทุนความเสี่ยงต่ำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพันธบัตร, ซื้อบ้านให้เช่า, ซื้อที่ดิน, หรือการลงทุนอะไรก็ตามที่เราประเมินดูแล้วมันมีความมั่นคง ไม่เครียด คือต่อให้มีผลตอบแทนนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
- นอกจากลงทุนในรูปแบบของตัวเงินแล้ว ถ้าพอจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง ก็อย่ามองข้ามตัวของเราเอง หันมาลงทุนกับตัวเองบ้าง ซึ่งการลงทุนในที่นี่ก็มีตั้งแต่ การทำอะไรที่อยากทำ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว การเรียนต่อในสาขาที่ตัวเองสนใจ การเปิดกิจการ หรือบริจาคเงินอะไรต่างๆ ที่เราทำแล้วจะให้ความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง ไม่รู้สึกว่าเป็นการลงทุนอย่างไร้ค่า แต่ต้องได้ประโยชน์อะไรกลับมาด้วย
- สุดท้ายก็คือ อย่าลืมบริหารเงินในอนาคต ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสในการต่อยอดเงินจำนวนนี้ของเราอีกไหม หรือมีจำนวนรายรับที่เราพอจะทราบล่วงหน้าอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าได้มาแล้วจะจัดสรรเงินจำนวนนั้นอย่างไร ซึ่งมันก็มีกฏของการเก็บเงินอยู่เหมือนกันนะ ไม่รู้มีใครเคยได้ยินกันไหม กับกฏ 50-30-20 (50% จากรายรับทั้งหมด แบ่งไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น, 30% จากรายรับทั้งหมด แบ่งไว้สำหรับข้าวของที่อยากได้ และ 20% สุดท้าย แบ่งไว้สำหรับเก็บออมและชำระหนี้) ไม่รู้ว่าจะเวิร์คไหม แต่ก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะลองดู
สรุปแล้วจากคำถามที่ว่า ถ้าเรามีเงิน 200 ล้านขึ้นมา เราจะนำไปลงทุนอะไร ถึงจะคุ้มค่าที่สุด คำตอบไม่ได้อยู่ที่เรา แต่มันอยู่ที่ตัวของทุกคน ว่าทุกคนจะใช้มันไปกับอะไรให้คุ้มค่า แล้วได้อะไรกลับมามากที่สุด อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่มือของทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกช้อยส์ไหนให้เป็นคำตอบที่ใช่สำหรับตัวเอง การลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การลงทุนทุกอย่างนั้น เราต้องยอมรับไว้ก่อนล่วงหน้าเลยว่ามันมักจะมาคู่กันกับ ความเสี่ยง ดังนั้นก่อนการลงทุนทุกครั้ง เราควรจะต้องศึกษาหาข้อมูลกันให้ดีก่อน แล้วหลังจากนั้นถ้าเราอยากจะลองลงทุนดูสักตั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร
ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนมีวิธีการจัดการกับเงิน ที่ลองใช้กับตัวเองแล้วได้ผล ก็สามารถเข้ามาแชร์กันได้ ช่วงนี้เงินทองเป็นของหายาก เมื่อหามาได้แล้ว หลายคนเลยค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับการเก็บเงินมากกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะเราได้เห็นกันแล้วว่า สถานการณ์ในบ้านเราทุกวันนี้มันไม่มีอะไรที่แน่นอน ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไร เราก็อยากให้ทุกคนเซฟเงินจำนวนนั้นกันไว้ก่อน น่าจะเป็นการดีที่สุด 😉
โดย imnat
เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)