พีทาโกรัส บิดาแห่งคณิตศาสตร์ ปรัชญา และจุดเริ่มต้นของมังสวิรัติ

avatar writer
โดย : imnat
avatar writer16 ส.ค. 2565 avatar writer2.0 K
พีทาโกรัส บิดาแห่งคณิตศาสตร์ ปรัชญา และจุดเริ่มต้นของมังสวิรัติ

 

เดี๋ยวนี้กระแสการกินอาหารแบบ Plant-Based Diet กำลังมาแรงในบ้านเรารวมถึงในอีกหลาย ๆ ประเทศ อย่างร้านอาหารหลายร้านก็มีการปรับเปลี่ยนเมนูอาหารให้เข้ากับกระแสการกินนี้มากขึ้น เรียกได้ว่างานนี้ ลาภปากคนที่กินมังกันสุด ๆ  😋 แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะเป็นการกินอาหารแบบมังสวิรัติ, Plant-Based หรือว่าการกินเจอย่างทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นของมัน 'ว่ากันว่า' มาจากชายคนหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักกันในนามของ บิดาแห่งคณิตศาสตร์ และนักปรัชญาชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ซึ่งใครจะไปรู้ว่า เค้าเองก็เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการให้กำเนิดการกินแบบมังสวิรัติที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน !

 


 

"พีทาโกรัส" เจ้าของทฤษฎีความสัมพันธ์ของสามเหลี่ยมมุมฉาก

ผู้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดคือพวกเดียวกัน !

 

หากใครยังไม่คืนวิชาให้กับคุณครูสมัยมัธยมกันไป น่าจะพอจำชื่อของบทเรียนอย่าง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส  กันพอได้อยู่บ้าง โดยเจ้าของทฤษฎีนี้คือ พีทาโกรัส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกที่ได้ตั้งชื่อทฤษฎีนี้ตามชื่อของเค้า โดยเนื้อหาของบทเรียนนี้ระบุเอาไว้ว่า ในสามเหลี่ยมมุมฉาก 1 รูป ด้านตรงข้ามมุมฉากเมื่อนำไปยกกำลังสอง จะมีผลลัพธ์เท่ากับผลรวมกำลังสองของอีก 2 ด้านที่เหลืออยู่เสมอ

 

และนอกจากพีทาโกรัสจะเป็นที่รู้จักกันในนามของบิดาแห่งคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เค้ายังมีบทบาทสำคัญในสาขาวิชาอื่น ๆ อีก อาทิ วิทยาศาสตร์ การดนตรี การประกอบพิธีกรรม รวมถึงปรัชญาคำสอน ที่มีเหล่าลูกศิษย์ลูกหา (หรือที่เรียกกันว่า พีทาโกเรี่ยน) ให้การสนับสนุนอยู่ไม่น้อย

 

โดยหนึ่งในคำสอนที่มีชื่อเสียงของพีทาโกรัสก็ได้แก่ การสอนให้เราปฎิบัติกับสัตว์ทั้งหลายอย่างเท่าเทียม เพราะเค้ามีความเชื่อว่า สัตว์ทุกชนิด (ไม่ใช่แค่มนุษย์) ล้วนมีจิตวิญญาณอันเป็นอมตะ มีการเวียนว่ายตายเกิด และสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยคนสามารถเกิดเป็นสัตว์ได้ และสัตว์เองก็สามารถเกิดเป็นคนได้ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เค้าเชื่อเหลือเกินว่า มนุษย์กับสัตว์นั้นเป็นพวกเดียวกันก็เพราะว่า มีข้อมูลหนึ่งบันทึกเอาไว้ ว่าสาเหตุที่ทำให้พีทาโกรัสเลิกตีสุนัข เพราะเค้าเชื่อว่า เสียงร้องของมัน เหมือนกับเสียงร้องของเพื่อนที่ตายไปแล้ว เค้าเลยเชื่อว่าสุนัขตัวนี้คือเพื่อนของเค้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่

 

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเค้าจะสอนให้ผู้คนปฎิบัติกับสัตว์ทั้งหลายอย่างเท่าเทียมกันแล้ว เค้ายังไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย เพราะการที่เรากินเนื้อสัตว์เข้าไป ก็เท่ากับว่าเรากำลังกินเนื้อพวกเดียวกันเองอยู่ และไม่ใช่แค่การเลิกกินเนื้อสัตว์เท่านั้น หลักฐานบางชิ้นยังบอกเอาไว้อีกด้วยว่า เค้ายังไม่เข้าใกล้คนขายเนื้อ รวมถึงนายพรานเลยด้วย

 


 

 

จากความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด

สู่จุดเริ่มต้นของ "Pythagorean Diet" ต้นแบบของการกินมังสวิรัติในปัจจุบัน

 

พีทาโกรัส เป็นบุคคลในยุคแรก ๆ ที่มีการเมนชันว่าเป็นผู้ที่ริเริ่มการกินมังสวิรัติ แต่ทว่าแท้จริงแล้วก่อนหน้านั้นอาจจะมีคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่ว่าหลักฐานที่ปรากฎออกมาอาจจะทำให้ขาดข้อมูลสำคัญในส่วนนี้ไป แต่ถ้าเราวัดจากข้อมูลที่มีหลักฐานประกอบชัดเจน ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า พีทาโกรัส เป็นคนแรกที่ปลุกกระแสการไม่กินเนื้อสัตว์ให้เกิดขึ้นในสังคม

 

อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ว่านอกจากพีทาโกรัสจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแล้ว เค้ายังมีความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณอันเป็นอมตะ ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เค้าละเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ขึ้นมา และนอกจากพีทาโกรัสจะละเว้นการกินเนื้อสัตว์อย่างจริงจังแล้ว เค้ายังสนับสนุนให้คนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าลูกศิษย์ของเค้าให้เลิกกินเนื้อสัตว์ด้วยเช่นเดียวกัน

 

แต่ต้องบอกเลยว่าในตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกที่ชัดเจนเหมือนอย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Vegan, Plant-Based หรือว่าการกินเจ เหล่าลูกศิษย์ลูกหาเลยได้ใช้ชื่อเรียกโดยตั้งมาจากชื่อของเค้า จนกลายมาเป็นวิถีการกินแบบ Pythagorean Diet หรือการกินแบบพีทาโกรัสนั่นเอง

 

 

ถ้าถามว่าวิถีการกินแบบ Pythagorean Diet ของพีทาโกรัสประกอบไปด้วยอะไรบ้าง จากข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยกลุ่มลูกศิษย์ของเค้า ได้ระบุเอาไว้ว่า มื้ออาหารของพีทาโกรัสจะประกอบไปด้วยอาหารง่าย ๆ อย่างขนมปัง ราดด้วยน้ำผึ้ง มีเครื่องเคียงที่เป็นผักนิดหน่อย เท่านี้ก็สามารถทำให้เค้าดำรงชีวิตอยู่ได้ แถมยังมีประโยชน์กว่าการกินเนื้อสัตว์อีกด้วย

 

เราเลยได้ไปทำการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับประโยชน์ที่อยู่ในอาหารที่พีทาโกรัสกินเป็นประจำ ก่อนจะได้ข้อมูลที่น่าสนใจในแง่ของโภชนาการ ดังนี้

 

  • ขนมปัง 🍞  - เป็นอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารอย่าง คาร์โบไฮเดรต  ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการให้พลังงานแก่ร่างกาย แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรค รวมถึงการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้

  • น้ำผึ้ง 🍯 - นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติเมื่อทานคู่กับขนมปังได้แล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์ในแง่ของการ บำรุงหัวใจ ให้แข็งแรง ทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น แถมยังมีสารอาหารมากมายที่ช่วยในการ กระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ  ให้ทำงานได้ดีขึ้น

  • ผัก 🥦  - เป็นแหล่งของใยอาหารที่ช่วยในเรื่อง การขับถ่าย  ช่วยให้ร่างกายกำจัดของเสียในลำไส้ออกมา แถมสารอาหารที่อยู่ในผักยังสามารถช่วย ลดระดับไขมัน  ยิ่งทานคู่กันกับแป้งก็จะช่วยเปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นพลังงานที่ดีได้

 

โดยผู้ติดตามรวมถึงกลุ่มลูกศิษย์ของพีทาโกรัสหลายคน ได้นำวิธีการกินของเค้ามาปฎิบัติตาม เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้อายุของพวกเค้ายืนยาว แถมยังจะส่งผลทำให้จิตวิญญาณในอนาคตข้างหน้าเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกด้วย

 

หลักการเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องของจิตวิญญาณ โลกหลังความตาย รวมไปถึงความเชื่อเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ของพีทาโกรัส ได้มีผลต่อนักวิชาการ และนักคิดทางศาสนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งพีทาโกรัสเองก็ได้มีการเปิดโรงเรียนสอนความรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ โดยว่ากันว่านักเรียนที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนของเค้าได้ จะต้องไม่กินเนื้อสัตว์ และจะต้องปฏิบัติตามพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงกฎระเบียบอื่น ๆ อย่างเคร่งครัด

 

 

เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกที่มีชื่อเสียง เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ได้นำเอาความเชื่อเกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์ของพีทาโกรัสมาปรับใช้ด้วยเช่นกัน โดยเพลโตเชื่อว่า เมืองในอุดมคติของเค้าคือเมืองมังสวิรัติ โดยมีเนื้อสัตว์เป็นอาหารที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมและสงคราม แต่ทั้งนี้เค้าก็ไม่ได้ยอมรับในแนวคิดของพีทาโกรัสในแง่จิตวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ขนาดนั้น เพราะเพลโตเชื่อว่า มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่มีจิตวิญญาณ และจักรวาลก็มีแค่มนุษย์เท่านั้นด้วย  ดังนั้นการละเว้นเนื้อสัตว์สำหรับเพลโต คือการปรารถนาความสงบสุข การหลีกหนีจากการตามใจตัวเอง และการใช้ชีวิตที่มากจนเกินไปมากกว่า

 

แต่ในขณะเดียวกัน ธีโดเฟรตีส (Theopharastus) บิดาแห่งพฤกษศาสตร์ และนักธรรมชาติวิทยาชาวกรีก หนึ่งในลูกศิษย์คนสำคัญของพีทาโกรัส ได้มีความเชื่อในเรื่องของการกินเนื้อสัตว์ว่า การฆ่าสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหารนั้นเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง แถมยังผิดศีลธรรม อีกทั้งการกระทำเหล่านั้นยังทำให้พระเจ้าโกรธ และเป็นการทำให้สังคมมนุษยชาติ เดินทางไปสู่ลัทธิอเทวนิยม

 

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในสมัยนั้น การละเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่แล้วจะขับเคลื่อนด้วยศาสนา ศีลธรรม รวมถึงความเชื่อ และสิ่งที่ชัดเจนมากนั่นก็คือ มีบุคคลที่มีชื่อเสียงชาวกรีกและโรมันหลายคนที่ใช้ชีวิตด้วยการไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจรวมถึงการตัดสินใจของแต่ละคน เพราะการละเว้นเนื้อสัตว์ก็จะมาพร้อมกับข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง และไม่ใช่ว่าสังคมกรีกและโรมันในสมัยนั้นจะมีแต่คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ซะทีเดียว เพราะในมุมกลับกัน เนื้อ ก็ยังเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากอยู่ดี

 

 

เพราะเนื้อสัตว์ถือได้ว่า เป็นแหล่งพลังงานที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อให้กับนักรบ และเสริมสร้างสมรรถภาพให้กับนักกีฬาในยุคนั้นได้ดี นั่นแปลว่า ต่อให้มีคนบางกลุ่มหันหน้าให้กับการกินเนื้อสัตว์ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่ยังต้องการมันอยู่ โดยเฉพาะตามงานเทศกาลต่าง ๆ ก็ยังมีการกินเนื้อสัตว์กันเป็นปกติ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมองว่ากลุ่มพีทาโกเรี่ยนเป็นพวกนอกคอก แถมผู้ปกครองเมืองในตอนนั้นก็ไม่ได้มีการสานต่อความตั้งใจนี้ เลยทำให้ลัทธิมังสวิรัติจำกัดอยู่แค่เฉพาะกลุ่ม และถูกมองว่าเป็นเพียง ปรัชญาความเชื่อของพวกชนชั้นสูง ไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่

 

ดังนั้นการเปิดเผยความแตกต่างของตัวเอง ภายใต้เสียงส่วนใหญ่ที่มองว่าการบริโภคเนื้อเป็นเรื่องปกติ จะยิ่งทำให้คุณกลายเป็นตัวประหลาด ดังนั้นคนที่ไม่กินเนื้อในสมัยนั้นมักจะไม่ค่อยแสดงตัว หรือเปิดเผยตัวตนออกมา เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพวกเค้านั่นเอง

 


 

"ลัทธิมังสวิรัติจงเจริญ" 🎉 

ต่อให้ถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก แต่การสานต่อลัทธิมังสวิรัติในพื้นที่ต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่

 

ก่อนหน้านี้เราได้บอกกันไปแล้วว่าแรงขับเคลื่อนของกระแสการไม่กินเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ มักจะขับเคลื่อนด้วยศาสนา ศีลธรรม รวมไปถึงความเชื่อ ซึ่งนอกจากกรีกและโรมันแล้ว พื้นที่ในแถบเอเชียเองก็มีการสนับสนุนไม่ให้มีการกินเนื้อสัตว์ด้วยเช่นกัน โดยประเทศที่ว่ากันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการกินอาหารแบบมังสวิรัติในแถบเอเชีย ก็ได้แก่ ประเทศอินเดียและจีน

 

โดยในคำสอนของศาสนาฮินดู พราหมณ์ โซโรอัสเตอร์ (นับถือกันในประเทศอิหร่าน) พุทธ และเชน ได้มีคำสอนที่เกี่ยวกับการละเว้นเนื้อสัตว์ปรากฎอยู่ชัดเจน อย่างเช่นในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู ได้มีการระบุไว้ในตอนหนึ่งว่า ไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง และให้เคารพสิ่งมีชีวิตทุกชนิด  อย่างในศาสนาพุทธ ก็มีคำสอนระบุเอาไว้เช่นเดียวกันว่า ไม่ให้เบียดเบียดสัตว์ 

 

นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ ก็ได้มีคำสอนว่า พระเจ้าสถิตอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดังนั้นในคนที่เคร่งศาสนามาก ๆ ก็จะมองว่า การกินเนื้อสัตว์ = บาป  ซึ่งบรรดาคำสอนต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้มีการปฎิบัติไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าระดับความซีเรียสของศาสนาไหนจะมีมากกว่ากันเท่านั้นเอง

 

 

และนอกจากเหตุผลที่มาจากความเชื่อทางศาสนาแล้ว เหตุผลด้านความจำเป็ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการไม่กินเนื้อสัตว์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เหตุผลเกี่ยวกับโรคระบาดที่มาจากสัตว์ อย่างในปี ค.ศ. 1944 Donald Watson ชายชาวอังกฤษ ได้ออกมาสนับสนุนให้มีการกินอาหารแบบมังสวิรัติขึ้นมา เพราะในช่วงนั้นได้มีการระบาดของวัณโรคในโคนมสูงถึง 40% เค้าเลยใช้สิ่งนี้ในการ Save ทุกคนจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนมาจากสัตว์ โดยให้หันมากินอาหารที่มาจากพืชและผักแทน

 

หรือจะเป็น เหตุผลด้านความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  อย่างในประเทศแอฟริกา เรียกได้ว่าประชากรแทบจะทุกคน ต่างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตด้วยการกินอาหารประเภท Plant-Based Diet เนื่องจากความจำเป็นในการดำเนินชีวิต ที่เมื่อหาอะไรกินไม่ได้ พวกเค้าก็จะหันไปหาอาหารจำพวกพืช ผัก และถั่วต่าง ๆ แทน นอกจากนี้ยังรวมไปถึง เหตุผลเกี่ยวกับสุขภาพ  ที่เปลี่ยนพฤติกรรมจากการกินอาหารที่มีไขมันเยอะ ๆ ก่อนหันไปกินอาหารจำพวกผัก หรือเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากถั่วแทน

 

เชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนอ่านกันมาจนถึงตรงนี้ เริ่มที่จะมีข้อสงสัยกันแล้วกับบรรดาชื่อเรียกของการกินแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมังสวิรัติ, Plant-Based รวมไปถึงการกินเจว่ามีความแตกต่างกันยังไง สำหรับความแตกต่างของมันหลัก ๆ จะอยู่ที่ ระดับความเคร่ง ในการกิน

  • การกินเจ (Vegetarian) - จะเป็นการกินที่เน้นไปที่แป้ง เต้าหู้ เห็ด และอาหารที่ไม่มีกลิ่นฉุน ซึ่งผู้ที่กินเจส่วนใหญ่มักจะมีการถือศีลร่วมด้วย

  • มังสวิรัติ (Vegan) - เป็นการกินที่สามารถปรับยืดหยุ่นได้ตามความสมัครใจของผู้กิน โดยมีตั้งแต่การกินแค่ผักอย่างเดียว กินเฉพาะนมกับไข่ ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ (แต่สัตว์เล็กยังกินอยู่) หรือจะกินเฉพาะเนื้อปลา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ที่กินมักจะมีการเข้มงวดในเรื่องของการไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่เลย แถมในบางคนอาจจะมีประเด็นเรื่องของสัตว์มาเกี่ยวข้องด้วย

  • Plant-Based - เป็นการกินที่เน้นสัดส่วนของพืชมากกว่าสัตว์ (แต่ก็ยังมีการกินเนื้อสัตว์อยู่) ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับศาสนา หรือเรื่องสัตว์มาเกี่ยวข้อง เน้นกินเพื่อสุขภาพล้วน ๆ

 

โดยการกินอาหารแบบ Pythagorean Diet จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการกินทั้ง 3 แบบนี้ ซึ่งการกินของเค้าก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการกินอาหารทั้ง 3 แบบนี้ด้วยเช่นกัน จนทำให้นอกจากพีทาโกรัสจะได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งคณิตศาสตร์ และปรัชญาแล้ว เค้ายังได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งมังสวิรัติสมัยใหม่ ด้วยเช่นกัน 👴🏼 

 


 

💭 ซึ่งการไม่กินเนื้อสัตว์ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง ทางเลือกของการกิน ที่ปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหลาย ๆ ประเทศ โดยคนที่ตัดสินใจเลือกที่จะไม่กินเนื้อสัตว์อาจจะมีเหตุผลประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความยืดหยุ่นที่แตกต่างกันออกไป เพราะชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น อีกหนึ่งทางเลือกของการกิน

 

และเดี๋ยวนี้ร้านอาหารหลาย ๆ ร้านในบ้านเรา ก็มีเมนูมังสวิรัติออกมามากมาย ดังนั้นใครที่อยากลองเปลี่ยนมากินอาหารแบบมังสวิรัติกันดู ก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะลำบากหรือเปล่า จะมีปัญหาเวลาเลือกของกินไหม เพราะยังไงเราก็สามารถปรับให้เข้ากับความสะดวกของเราได้ เน้นกินเพื่อความสบายใจ ไม่ถึงกับต้องซีเรียสขนาดนั้น

 


 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง : pbs.org, plantbasedmealsnow, time, plato.standford, vegsoc, businessinsider, britannica และ หนังสือ The Life of Pythagoras โดย André Dacier

  • avatar writer
    โดย imnat
    เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)
แสดงความคิดเห็น