จะสมัครงาน ต้องอ่าน ! ทำ Cover Letter / Resume / CV ยังไงให้โดนเรียกสัมภาษณ์

avatar writer
โดย : waranggg
avatar writer5 ม.ค. 2566 avatar writer10.3 K
จะสมัครงาน ต้องอ่าน ! ทำ Cover Letter / Resume / CV ยังไงให้โดนเรียกสัมภาษณ์

 

ปีใหม่ งานใหม่ต้องมา ! ถ้าหากเป้าหมายในปีนี้ของใครคือการตามหางานใหม่ อยากจะมูฟออนออกจากงานเดิมกันแล้ว บอกเลยว่าการทำเรซูเม่ CV และการเริ่มเขียนจดหมายสมัครงานอย่าง Cover Letter คือสิ่งที่ต้องเริ่มทำกันได้แล้วนะ ! แต่สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดีเพราะห่างหายจากวงการการสมัครงานไปนาน หรือเป็นน้องๆ เด็กจบใหม่ จะเริ่มทำเอกสารสมัครงานยังไงให้จึ้ง ปันโปรมีทริคมาฝากกันแล้วจ้า~  

 


แชร์ทริค วิธีทำ Cover Letter / Resume / CV ให้จึ้ง

จน HR ต้องเรียกไปสัมภาษณ์ !


 

Cover Letter

 

✅  Cover Letter หรือจดหมายสมัครงาน 

 

จุดประสงค์ของ Cover Letter หรือจดหมายสมัครงาน คือ การเขียนแนะนำตัวเพื่อสมัครเข้าทำงานในบริษัทที่ต้องการ โดยจะแนบตัว Cover Letter ไปพร้อมกับ Resume หรือ CV เพื่อใช้ยื่นสมัครงานในบริษัทนั้นๆ  แต่บอกก่อนว่าบางบริษัทก็ไม่ได้ต้องการ หรือร้องขอให้เราเขียน Cover Letter อย่างเป็นทางการนะ แต่ถ้าหากว่าใครสามารถเขียนได้ ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง

 

เพราะการเขียนแนะนำตัวเพียงเล็กๆ น้อยๆ ผ่านการเขียนจดหมายสมัครงานอาจจะช่วยให้ทางบริษัทนั้น เห็นถึงความตั้งใจ และนายจ้างจะได้รู้จักเราเบื้องต้นว่าเราเป็นใคร ต้องการสมัครงานในตำแหน่งไหน และมีทักษะอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เราสนใจหรือไม่ บอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่งโอกาสดีๆ ที่เราจะสามารถบอกกับนายจ้าง หรือ HR ของบริษัทนั้นๆ ได้ว่า ทำไมเราถึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสม และตำแหน่งนี้จะต้องตกเป็นของเราเท่านั้น ! 

 

ทริคเขียน Cover Letter

 

| แชร์ทริค เขียน Cover Letter ยังไงให้น่าสนใจ ?

 

  • เขียนจ่าหน้าถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างชัดเจนไปเลย ถ้าในประกาศรับสมัครงาน มีชื่อของผู้ประกาศรับสมัครงานหรือชื่อของ HR อยู่ ก็สามารถใส่เป็นชื่อหรือตำแหน่งของบุคคลนั้นได้เลย หรือถ้าหากไม่ได้มีการระบุชื่อไว้ เราอาจจะจ่าหน้าถึงแบบกว้างๆ เช่น เรียน HR บริษัท.... เป็นต้น 

  • ย่อหน้าแรกถือว่าสำคัญมากๆ ให้เราใช้พื้นที่ตรงนี้ในการบอกว่า เราคือใคร และทำไมเราถึงสนใจตำแหน่งงานนี้ เช่น ชื่อ-นามสกุล เรียนจบสาขาอะไรมา เห็นประกาศรับสมัครงานจากที่ไหน เป็นต้น

  • มาต่อกันที่ย่อหน้าที่ 2 ที่เราอาจจะ เขียนเล่าถึงประสบการณ์และทักษะของเรา ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการสมัครอย่างไร โดยจะต้องเน้นไปที่ทักษะและประสบการณ์การทำงานที่ "ตรงกับตำแหน่ง" ที่ต้องการสมัครที่สุด

  • ย่อหน้าสุดท้าย จงใช้โอกาสนี้บอกย้ำกับนายจ้างและ HR อีกครั้งว่า ทักษะและประสบการณ์ที่เรามีนั้นเหมาะสมกับการเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งงานนี้ยังไง หรือบอกเป็นนัยๆ ว่าเราสามารถทำอะไรให้กับบริษัทได้บ้าง

  • สำคัญที่สุด อย่าลืมปิดด้วยการขอบคุณที่พิจารณาใบสมัครของเรา และแสดงความสนใจในตำแหน่งงานนี้ด้วยการแจ้งว่า เราได้แนบ Resume หรือ CV สำหรับการพิจารณาเพิ่มเติมมาด้วย  และที่สำคัญที่สุดคือ "อย่าลืมทิ้งเบอร์โทรศัพท์" หรืออีเมลสำหรับติดต่อกลับไปด้วยนะ !

 

ในการเขียน Cover Letter ที่ดี  ไม่ควรเขียนยาวจนเกินไป  ประมาณ 1 หน้ากระดาษถือว่ากำลังพอดี และควรเขียนให้กระชับ ตรงประเด็น ว่าเพราะอะไรทำไมเราถึงสนใจและเหมาะสมกับตำแหน่งงานนี้ เขียนเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เล่าแบบคร่าวๆ พอให้ HR และนายจ้างรู้จักเรา และรับรู้แพสชันอันแรงกล้าต่องานตำแหน่งนี้ก็เพียงพอแล้ว

 

และก่อนที่เราจะทำการส่งอีเมล อย่าลืมตรวจสอบเรื่องการใช้คำ การสะกดคำให้ถูกต้อง และอย่าลืมเช็กว่าเราได้แนบไฟล์ Resume หรือ CV เรียบร้อยแล้วหรือยัง เพื่อเพิ่มความเป็นมืออาชีพให้กับเรามากขึ้นนั่นเอง 

 


 

✅  Resume หรือประวัติโดยย่อ

 

Resume

 

Resume เรซูเม่ คือ ประวัติส่วนตัวโดยย่อ เป็นเอกสารประกอบการสมัครงานที่ HR มักจะขอจากเรามากที่สุด เพื่อนำไปพิจารณาว่า เรามีคุณสมบัติ ทักษะ และประสบการณ์ ตรงกับตำแหน่งงานนั้นๆ หรือไม่  โดยในเรซูเม่จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลสำหรับการติดต่อ ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน ประวัติการเข้าอบรม และใบ Certification ต่างๆ 

 

ทริคทำ Resume

 

| แชร์ทริค ทำ Resume ออกมายังไงให้น่าสนใจ ?

 

  • เลือกใช้แบบฟอร์มที่อ่านง่าย ไม่ลายตาจนเกินไป หรืออาจเลือกใช้ Bullet Point เป็นตัวช่วยจัดระเบียบหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย เพื่อให้ดูน่าอ่านมากยิ่งขึ้น ยิ่งอ่านง่ายเท่าไหร่ HR และนายจ้างก็จะยิ่งสแกน Resume ของเราได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น 

  • ปรับแต่งเรซูเม่ให้เหมาะกับประเภทงานหรือตำแหน่งงานที่ต้องการสมัคร โดยเน้นสกิล ทักษะ หรือประสบการณ์ที่ตรงกับตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัครให้ได้มากที่สุด 

  • ใส่ทักษะที่มีให้ตรงกับงานที่สมัคร และต้องเลือกใช้คำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ HR สแกนได้อย่างรวดเร็วว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะกับตำแหน่งงานหรือไม่ โดยสามารถใส่ได้ทั้ง Hard Skill และ Soft Skill เลยนะ !

  • การระบุระดับของทักษะต่างๆ ควรระบุแบบชัดเจน เป็นรูปธรรม ถ้าหากเป็นทักษะที่มีระดับเป็นหลักสากล อย่างทักษะด้านภาษาที่มีการสอบวัดระดับ สามารถระบุแบบเจาะจงได้เลย เช่น ทักษะภาษาญี่ปุ่น ระดับ N3  เป็นต้น

  • ระบุตัวอย่างงานที่ประสบความสำเร็จลงในเรซูเม่ด้วยทุกครั้ง โดยตัวอย่างงานจะต้องตรง หรือสามารถเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของตำแหน่งงานที่จะสมัครให้ได้มากที่สุด 

  • ในการเขียนประสบการณ์การทำงาน ควรเลือกใช้คำที่อ่านแล้วสื่อถึงความสำเร็จของงานที่ผ่านๆ มา จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสกิลที่เรามีได้มากขึ้น เช่น มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการทีม ลองเปลี่ยนเป็น มีประสบการณ์บริหารจัดการทีมที่มีพนักงานจำนวน 10 คน  เป็นต้น 

  • การใส่บุคคลอ้างอิง ข้อมูลส่วนนี้ จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้าหากมีการกล่าวถึงบุคคลอ้างอิง ก็จะช่วยทำให้เรซูเม่ของเราดูมีน้ำหนัก และมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

 

จริงๆ แล้วการทำ Resume นั้นไม่ได้มีกำหนดแบบฟอร์มตายตัวเท่าไหร่นัก ขึ้นอยู่กับแต่ละสายงานด้วย อย่างงานที่เป็นทางการหน่อยก็อาจจะต้องใช้รูปแบบที่เป็นทางการ ใช้ฟอนต์และสีที่สุภาพ แต่หากว่าเป็นสายงานครีเอทีฟ ศิลปะ หรืองานที่เกี่ยวกับการใช้ไอเดีย ก็สามารถออกแบบให้สวยงามได้เลย

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำให้เรซูเม่มีข้อมูลครบถ้วน อ่านง่าย ย่อมส่งผลดีมากกว่า  ควรมีความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ และอย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลการติดต่อ ถ้าใส่ข้อมูลผิด อาจจะทำให้เราพลาดการติดต่อจาก HR ได้ทันที 

 


 

✅  CV หรือ Curriculum Vitae

 

CV

 

CV หรือ Curriculum Vitae เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษาละติน มีความหมายประมาณว่า เรื่องราวชีวิตของคุณ ส่วนใหญ่แล้วมักจะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนตัว ประวัตการศึกษา ประวัติการทำงาน ประวัติการทำวิจัย หรืออื่นๆ มีลักษณะคล้ายกับเรซูเม่ แต่จะมีความยาวกว่าและละเอียดกว่ามาก เรียกได้ว่าเคยเรียนหรือมีประสบการณ์อะไรมา เราสามารถเขียนเล่าใน CV ได้หมดเลย

 

ส่วนใหญ่แล้ว CV มักจะใช้ในการขอทุนการศึกษา หรือตำแหน่งทางวิชาการ แต่ในบางบริษัทที่เป็นบริษัทใหญ่ หรือมีตำแหน่งงานในสายวิชาการ ก็มักจะมีการเรียกขอ CV ประกอบกับใบสมัครงานด้วยเช่นกัน สำหรับสายงานอื่นๆ ถ้าหากว่าอยากขึ้นเป็น Candidate No.1  การทำ CV แนบไปพร้อมกับเรซูเม่ ก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธลับที่จะช่วยให้เรากลายเป็นผู้สมัครที่น่าสนใจขึ้นมาเลยทีเดียว 

 

นอกจากนี้การทำ CV ยังมีประโยชน์มาก สำหรับคนที่มีประวัติการทำงานที่หลากหลาย  ผ่านตำแหน่งงานมาแล้วมากมาย จนไม่สามารถใส่ใน Resume ได้พอในหน้าเดียว การทำ CV ก็เป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ไม่น้อยเลย

 

ทริคการทำ CV

 

| แชร์ทริค ข้อมูลอะไรบ้างที่ควรใส่ใน CV ?

 

  • ข้อมูลสำคัญส่วนแรกที่ต้องใส่คือ ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลติดต่อ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-สกุล ที่อยู่ อีเมลและเบอร์โทรศัพท์ ไว้ที่ ส่วนบนสุด ของ CV ได้เลย 

  • ประวัติการศึกษา นับเป็นอีกส่วนที่สำคัญมากที่ต้องใส่ใน CV  ส่วนนี้ให้ ระบุระดับการศึกษาสูงสุดไว้อันดับแรก ระบุชื่อปริญญา สถานศึกษา และวันที่จบการศึกษาไว้ด้วย

  • ประวัติการทำงาน ใน CV ควร ใส่งานล่าสุดหรืองานปัจจุบันไวัอันดับแรก จากนั้นก็ค่อยๆ เรียงจากงานใหม่สุดไปงานเก่าสุด โดยควรระบุตำแหน่งงาน ชื่อบริษัท วันที่เข้าทำงาน และวันที่ลาออก พร้อมกับ อธิบายรายละเอียดงานแต่ละที่แบบสั้นๆ  กำกับไว้ด้วย

  • ทักษะหรือใบรับรองการอบรมทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากว่ามีใบรับรองสามารถนำมาใส่ใน CV ได้เลย ไม่ว่าจะทักษะด้านภาษา ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ หรือทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร

  • งานวิจัยหรือสิ่งพิมพ์ ถ้าหากว่าเคยทำงานวิจัย หรือมีสิ่งพิมพ์ที่เคยได้ถูกตีพิมพ์ ก็สามารถนำมาใส่ประกอบใน CV ก็ได้เช่นกัน ซึ่งพาร์ทนี้ส่วนมากมักจะเป็นส่วนสำคัญของงานด้านวิชาการมากกว่า 

  • รางวัลที่ได้เคยได้รับ ระหว่างเรียน หรือรางวัลจากการทำงาน รวมไปถึงทุนการศึกษาก็สามารถนำมาใส่ CV ได้ด้วยเช่นกัน 

  • กิจกรรมหรือประสบการณ์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องงาน เช่น งานอาสาสมัคร กิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆ ยิ่งถ้าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงาน แนะนำให้ใส่ไปด้วย

 

ในส่วนของรูปแบบหรือแบบฟอร์มก็ไม่ได้มีตายตัวเหมือนเรซูเม่ เพียงแค่ เน้นความอ่านง่าย ข้อมูลครบถ้วน โดยเฉพาะการจัดหน้ากระดาษให้อ่านง่าย ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และอย่าลืมเช็กความถูกต้องของข้อมูลด้วยเสมอ

 


 

ทั้งหมดนี้ก็คือทริคง่ายๆ สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มต้นทำ Cover Letter, Resume หรือ CV เพื่อยื่นสมัครงาน ส่วนตัวแนะนำให้ทำเตรียมไว้ทั้ง 3 อย่างไปเลยจะเซฟที่สุด เพราะแต่ละบริษัทก็จะเรียกขอเอกสารที่ต่างกันออกไป เวลาที่ HR เรียกขอเอกสารเราจะได้ส่งเอกสารได้ทันทีนั่นเอง

 

และในการทำเอกสารยื่นสมัครงาน สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างแรกเลย ก็คือ ไม่จำเป็นต้องสวยหวือหวา แค่อ่านง่าย และมีข้อมูลของเราที่ครบถ้วนจะตอบโจทย์มากกว่า และเรื่องที่เราอยากจะเน้นย้ำที่สุดเลย คือ ข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นความจริง อย่าใส่ข้อมูลมั่วเด็ดขาด เพราะบริษัทผู้จ้างงานสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้ภายหลัง สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนโชคดีในการสมัครงานและได้งานในตำแหน่งที่ต้องการนะ 🎉 

 

💖 บทความที่เกี่ยวข้อง 

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : jobsdb.com, jobthai.com, iecabroad.co.th, scholarship.in.th

แสดงความคิดเห็น