ทริป 1 วัน 2 คืน นครศรีธรรมราช กับ airasia เส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิ
โดย : น้องหลุมดำ
วันหยุดนี้ไปเที่ยวกัน!
แจกทริป 2 วัน 1 คืน นครศรีธรรมราช
เดินทางด้วย airasia เส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิ
วันน้อยแต่ทริปแน่นมากเวอร์~
วันหยุดกำลังกลับมาอีกครั้ง ช่วงท้ายปีแบบนี้ เชื่อว่าเพื่อน ๆ กำลังวางแผนเที่ยวแน่นอน สำหรับใครที่มีเวลาว่างสั้น ๆ 2 วัน 1 คืน ปันโปรขอพาเที่ยวนครศรีธรรมราชฉบับเมืองเก่า ทั้งพาเที่ยววัด คาเฟ่ ร้านอาหาร และรีวิวโรงแรมที่เราไปพัก บอกเลยว่าทริปนี้ สั้นแต่ฟินแน่นอนจ้าาา 😍 🌞
เส้นทางการบิน ปันโปรเลือกไปเที่ยวนครศรีธรรมราชกับ ✈️ airasia ✈️ ค่ะ เผื่อใครอาจจะไม่รู้ ตอนนี้ airasia สามารถเลือกบินได้ทั้งจากสุวรรณภูมิและดอนเมืองแล้วนะ วันนี้เราเลือกเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิค่า สะดวกสบายใกล้บ้าน อิอิ เคาน์เตอร์เช็กอินของ airasia จะตั้งอยู่ที่ประตูทางเข้า 3 ชั้น 4 สนามบินสุวรรณภูมิ เรามาถึงกันค่อนข้างเช้า คนเลยไม่เยอะมาก ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ก็เช็กอินเสร็จแล้ว เร็วมาก ๆ สำหรับเที่ยวบินที่ปันโปรเลือกนั้น ได้แก่ เที่ยวบิน FD4324 รอบเวลา 9.00 น. สำหรับใครที่อยากดูรายละเอียดการเดินทางด้วย airasia ทีมปันโปรเคยอธิบายไว้แล้วในบทความนี้ค่า >Click<
airasia ออกเครื่องตรงเวลาเป๊ะ และใส่ใจความปลอดภัยเหมือนเดิม
นอกจากนครศรีธรรมราชแล้ว airasia ยังเปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิสู่ น่าน และหาดใหญ่ด้วยนะคะ
เราถึงนครศรีธรรมราชแล้ววว เราเข้าพักที่โรงแรม “Grand Fortune Hotel” ซึ่งทางโรงแรมมีรถรับส่งให้ด้วยค่า ห้องพักของเรากว้าง กลิ่นหอม น่านอนมากกก จากนั้นเราก็ทิ้งสัมภาระแล้วออกเที่ยวค่ะ!
เนื่องจากมาถึงเช้า ขอเพิ่มพลังก่อนที่ร้านอาหาร ร้านแรกที่เรามาคือ “ร้านโกปี๊ นครศรีธรรมราช” เป็นร้านกาแฟสไตล์โบราณก็จริง แต่ไม่ได้มีแค่กาแฟและเครื่องดื่มที่เจ๋งนะคะ มันมีทั้งอาหารคาว-หวานครบครันเลย บรรยากาศร้านคลาสสิกให้ความรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว โต๊ะ เก้าอี้ หรือของตกแต่งร้านต่าง ๆ ก็ดูขลังเช่นกัน ที่สำคัญพนักงานน่ารักมาก~
เราจัดเมนูขึ้นชื่อที่หลาย ๆ คนต้องสั่ง นั่นก็คือ “บะกุ๊ดเต๋ ซี่โครงหมู” (80.-) รสชาติดี กลมกล่อม ซี่โครงหมูเข้าเนื้อ เนื้อนุ่ม หลุดออกมาจากกระดูกเลยค่ะ รสชาติต่างจากที่เรากินที่กรุงเทพฯ มากกกก สั่งพร้อม “ข้าวสวย” (10.-) ร้อน ๆ เด็ด! หรือใครที่ทานเนื้อ ก็จะแนะนำ “ข้าวมันแกงเนื้อ” (35.-) เนื้อนุ่ม แกงเข้มข้นมาก ๆ
นอกจากนี้ก็มี “ซาลาเปาหมูสับหมูแดง” (ลูกละ 15.-) “อิ่วจาก้วย” หรือ “ปาท่องโก๋” (ชิ้นละ 5.-) กินคู่กับเครื่องดื่มที่ทางร้านแนะนำอย่าง “โกปี๊ชิโน่” (35.-) และ “ชาเย็น” (35.-) โดยรวมแล้วราคาไม่แรงเลยเมื่อเทียบกับคุณภาพ และบรรยากาศที่ได้รับ คุ้มค่าแก่การเช็กอินค่ะ
จากนั้นเราก็เดินต่อไปที่ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” ซึ่งระหว่างทางที่เราเดินก่อนไปถึงนั้นจะผ่าน “ศาลกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช” , “หอนาฬิกา” , “ศาลพระเสื้อเมือง” และ “ศาลศาลาเจ้าแม่ทับทิม” เราก็เก็บแต้มด้วยการถ่ายรูปและไหว้สักการะค่ะ 😊
ระหว่างทางก็ไม่ร้อนมาก พอมีลมตลอดค่ะ แต่ที่เก๋คือ 7-Eleven สาขาราชดำเนินนี้ค่ะ
เพราะเขาสร้างให้เข้ากับเมืองเก่า เก๋เชียวล่ะ ใครผ่านก็แวะถ่ายรูปได้
เดินต่ออีกไม่นาน ไฮไลต์ของเราก็มาถึงแล้วค่ะ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร”
“วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” หรือ ที่ชาวนครเรียกว่าวัดพระธาตุ เป็นเจดีย์สถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีจุดเด่นที่ยอดเจดีย์ ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้ค่ะ ก่อนเดินเข้าสู่ใจกลางของวัด เราก็ไปดูพระพุทธบาทจำลองกัน ทางขึ้นวิวสวยใช้ได้เลยค่ะ ใครชอบถ่ายรูป มุมนี้ดีงามนะ
ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ องค์พระบรมธาตุ คือ องค์พระธาตุจะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด ปัจจุบันก็ไม่มีใรหาคำตอบได้ จากความมหัศจรรย์นี้ ท.ท.ท. จึงให้เจดีย์นี้เป็นหนึ่งใน unseen Thailand ของเมืองไทย
นอกจากพระบรมธาตุเแล้ว เจดีย์องค์เล็ก ๆ ที่อยู่ล้อมรอบองค์พระธาตุก็เป็นสิ่งที่แปลกตากับคนที่มาท่องเที่ยว ซึ่งเจดีย์นี้เรียกว่า องค์เจดีย์บริวาร ซึ่งมีทั้งหมด 149 องค์เจดีย์บริวาร คือ เจดีย์ที่ลูกหลานบรรพบุรุษได้สร้างไว้สืบต่อกัน มาเรื่อย ๆ เพื่อบรรจุอัฐิของญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
จาก “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” เดินทางไม่ไกลมาก ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเราก็จะเจอ “บ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์” เรือนปั้นหยายกพื้น หลังคาสูง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2445 โดยนาย
ต่อมาในภายหลังนายสำราญ ตรีสัตยพันธุ์ ทายาทของขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ได้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงบ้านหลังนี้อีกครั้ง ฟื้นฟูจนสวยพร้อมกับเปิดให้เป็น สถานที่ท่องเที่ยว ให้คนรุ่นหลังได้เยี่ยมชม โดยบ้านขุนรัฐวุฒิได้รางวัล อาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม ดีเด่น ปี พ.ศ. 2556 โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
จากนั้นเราก็นั่ง Grab ไปคาเฟ่เก๋สไตล์เมืองเก่า ที่นั่นก็คือ “ยงคัง” ตัวคาเฟ่ป็นตึกแถวสองชั้น ด้านนอกดูขลัง แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน จะพบว่าภายในร้านนั้นรีโนเวตให้ดูทันสมัย โมเดิร์นแต่ก็ใส่ความคลาสสิกแบบจีน ๆ ลงไปตามจุดต่าง ๆ ของร้าน ไม่ว่าจะเป็น โคมไฟ เก้าอี้ หรือหน้าต่างค่ะ ใครที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่ตอบโจทย์มาก ๆ
เมนูที่ทางร้านแนะนำคือ “กาแฟสายไหม” (เย็น 80.-) หอมกรุ่นโดนใจ เพิ่มรสชาติหวานละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ของสายไหมแล้ว รสชาติลงตัวแปลกใหม่มาก ๆ สำหรับคนที่เพิ่งลองชิมครั้งแรกค่ะ ส่วนตัวชอบนะคะ แต่หากใครไม่ทานหวานก็หยิบสายไหมออกได้นะคะ
ส่วนใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ทางร้านก็มีเครื่องดื่มคลายร้อนที่น่าสนใจอย่าง “หวังเหล่าจี๋” (49.-) ซึ่งรสชาติจะคล้ายกับน้ำชาผสมเก๊กฮวย คลายร้อนได้ดี พร้อมตัดรสชาติด้วย “ทาร์ตเสาวรส” (95.-) เปรี้ยวนำหวานตาม ทานคู่กับเครื่องดื่มรสเข้มอย่างกาแฟ ถือว่าลงตัวดีงามจ้าาา
วันที่สอง...วันกลับกรุงเทพฯ เรากลับไฟลท์เย็นมุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิค่ะ วันต่อมายังต้องทำงานจ้า 😂 งอแง~ แต่ก่อนกลับเราต้องไปขอพรขอเลขเด็ดกันที่ "ไอ้ไข่" วัดเจดีย์ นครศรีธรรมราช กันก่อน มาถึงนครจะไม่เช็กอินไอ้ไข่ก็ถือว่ามาไม่ถึงจ้าา
ใครที่อยากอ่านรายละเอียดไอ้ไข่เพิ่มเติม ปันโปรเคยเขียนไว้แล้วค่า
ตามไปอ่านกันได้ > เปิดตำนาน “ไอ้ไข่” เด็กวัดเจดีย์ ขออะไรก็สมหวัง
จบทริปนครศรีธรรมราช 2 วัน 1 คืน ไปแล้ว เป็นทริปสั้น ๆ เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา แต่อยาก Relax จิบกาแฟ นั่งคาเฟ่ พร้อมกับไปไหว้พระเสริมศิริมงคลให้กับชีวิตค่าาาา
แล้วเจอกันทริปหน้านะ ว่าปันโปรจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่ไหนอีก See yaa~
โดย น้องหลุมดำ
I'm coming when food's coming