รู้จัก "โรคอีลูกช่างซื้อ" ซื้อมาใช้ ❌ ซื้อมาเก็บ ✅
โดย : imnat
แค่อยากจะขอเก็บไว้ที่เก่า และไม่บอกใคร ให้มันเป็นเรื่องราว
จะไม่เปลี่ยนไป จะนานนานเท่าไร จะเก็บและทิ้งเรื่องดี ๆ เอาไว้
แหงล่ะ... ของแบบนี้ถ้าบอกแม่ แม่ตีตาย บอกเพื่อน เพื่อนก็ต้องด่าแน่นอน 😅 เคยได้ยินไหมคะ ของมันต้องมี ดังนั้น ถ้าซื้อได้ ก็ต้องซื้อมาก่อน ส่วนจะใช้ไม่ใช้ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตอีกที เพราะว่า ณ จุดนี้ " หนูสะดวกแบบนี้ " ก็แล้วกันฮิ ๆ
ซื้อมาใช้ ❌ ซื้อมาเก็บ ✅
รู้หรือไม่ ว่านี่เป็นสัญญาณของโรค " Hoarding Disorder "
เชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่เห็นหัวข้อบทความของเราอาจจะตีความนำไปก่อนและ ว่าบทความนี้ ถ้าไม่แซะ มันก็ต้องปั่นพวกตรูแน่นอน ซึ่งจะบอกว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้จะปั่นทุกคนกันเด้อ แต่ไอ้โรคชอบซื้อของมาเก็บเนี่ยมันมีอยู่จริง ๆ ซึ่งภาษาอังกฤษเค้าเรียกโรคนี้กันว่า Hoarding Disorder ส่วนในภาษาไทยก็มีชื่อเรียกกันไปต่าง ๆ นานา อย่างโรคชอบสะสมของบ้าง โรคขี้เสียดายของบ้าง แต่ทางเราขอตั้งชื่อให้นางว่า โรคอีลูกช่างซื้อ ก็คือซื้อมาเก็บ ๆ ไว้ ส่วนจะใช้-ไม่ใช้ก็ค่อยว่ากันอีกที อิๆ
ซึ่งโรคอีลูกช่างซื้อเนี่ย เค้าจัดอยู่ในกลุ่มของ โรคทางจิตที่เป็นโรคใหม่ ที่มีการวินิจฉัยไปในปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ส่วนมากแล้วมักจะพบในผู้สูงอายุซะเป็นส่วนใหญ่ อารมณ์เหมือนบ้านใครที่มีพ่อแม่ที่รับบทเป็นคนที่ชอบสะสมของ ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะเก่าแค่ไหน จะใช้งานได้หรือใช้งานไม่ได้แล้ว (แต่ก็ยังจะเก็บ) ซึ่งทางเราก็เข้าใจนะเพราะบางทีของชิ้นนั้นอาจจะมีผลต่อจิตใจ หรืออาจจะเป็นของที่มีปูมหลัง ผ่านอะไรกันมาเยอะ ถ้าแบบนี้ก็พอจะฟังขึ้นอยู่ 🤔
แต่ในบางคนที่ชอบสะสมของอะไรก็ไม่รู้ อย่างขยะบ้าง ของกินที่หมดอายุมานานแล้วบ้าง แบบนี้ถือว่าเริ่มผิดปกติกันแล้วนะ ซึ่งถ้าพบในผู้สูงอายุ แพทย์ก็จะวินิจฉัยก่อนเลยว่าผู้ป่วยคนนั้นอาจจะมีอาการของโรคสมองเสื่อม ความจำสั้น อะไรแบบนี้เข้ามาร่วมด้วย ฟีลแบบหลง ๆ ลืม ๆ นั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่า พฤติกรรมของอีลูกช่างซื้อจะพบได้ในผู้สูงอายุอย่างเดียว อย่างอิชั้นก็คือแท็กทีมเข้าไปแจมด้วยแล้วหนึ่ง เพราะทางเราเป็นคนที่ชอบซื้อของมาเก็บมากกก (แต่ไม่ได้สะสมของที่ใช้งานไม่ได้ หรือขยะอะไรแบบนั้นนะทุกคน) ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่รู้ตัวอีกที ของก็คือกองพะเนินเต็มบ้านแล้ว 😅
" อะไรออกใหม่ไม่เคยพลาด ยิ่งเห็นของลดราคาเป็นต้องซื้อ ! "
ทุกคนเคยได้ยิน โรคกลัวการตกกระแส หรือ Fear of Missing Out กันบ้างหรือเปล่า ซึ่งโดยปกติแล้วอาการของโรค FOMO นี้มักจะเกี่ยวพันกับพวกการเสพข่าว หรือการเสพติดโซเชียลมีเดียกันใช่ไหม แต่จะบอกว่าเดี๋ยวนี้ พฤติกรรมของสายช็อปเราก็มีความเกี่ยวข้องกับพวกสื่อโซเชียลมีเดียเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน อย่างพวกเทคนิคการทำการตลาด การลงโปรโมทสินค้า หรือแคมเปญของแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ นานา เลยทำให้ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของโรคอีลูกช่างซื้อขึ้นมาเนี่ย โรคกลัวการตกกระแสก็มีส่วนด้วยจริง ๆ
แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของโรคอีลูกช่างซื้อขึ้นมา ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะโรคทางพันธุกรรม ก็มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นมาได้เหมือนกัน จากผลการสำรวจพบว่า นอกจากคนที่ป่วยเป็นโรคนี้กันแล้ว คนในครอบครัวเองก็มีแนวโน้มว่าจะป่วยเป็นโรคนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนตัวเรามองว่ามันอาจจะเหมือนกับภาพจำ ยกตัวอย่างเช่น เด็กคนนึงโตมาในครอบครัวที่มีพ่อ หรือแม่ที่มีพฤติกรรมของโรคอีลูกช่างซื้อ ก็คือเห็นมาตั้งแต่เด็ก ว่าพ่อ หรือแม่ของเราเนี่ย ชอบซื้อของมาเก็บ ๆ ไว้ ไม่ค่อยได้หยิบออกมาใช้เท่าไหร่ พอโตขึ้นก็เลยจำภาพนั้นแล้วนำมาใช้กับตัวเองด้วย เพราะคิดว่าสิ่งที่เห็นมามันเป็นเรื่องปกติ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันอาจจะเกินเบอร์ไปนิด หรือถ้าเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันอาจจะผิดแผกจากคนอื่นเค้าไปเลย
นอกจากนี้อาจจะมี ความผิดปกติทางจิต หรือสมองร่วมด้วย โดยเฉพาะคนที่เลือกที่จะเก็บของที่ไม่มีประโยชน์ อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้เช่นพวกขยะ หรือของกินที่หมดอายุ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องเก็บมันเอาไว้ แต่คน ๆ นั้นกลับเลือกที่จะเก็บ อันนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า คนนั้นอาจจะมีความผิดปกติทางความคิด ซึ่งอาจจะต้องได้รับการรักษา ทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อที่ว่าจะได้แยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด จะได้ใช้ชีวิตไปในแบบที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ จะให้คนอื่นก็เสียดาย 😓
เก็บอย่างเดียวมันจะไปตื่นเต้นอะไร บางคนอาจมีอาการ " หวงของ " ร่วมด้วย !
จะบอกว่านอกจากพฤติกรรมชอบซื้อของมาเก็บแล้ว ผู้ป่วยบางคนอาจจะมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งอาการหวงของก็เป็นหนึ่งในอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคอีลูกช่างซื้อ นอกจากจะขยันหาซื้อของเข้าบ้านมาสะสมกันแล้ว บทจะตัดก็ตัดไม่ขาด ถ้าอาการหนักมากก็คือ ทำให้บ้านหรือห้องที่ใช้เก็บของไม่มีพื้นที่เหลือเลย เหมือนวลีที่บางคนอาจจะชอบใช้แซวคนอื่น (หรือโดนคนอื่นแซว) อย่าง บ้านรก จนไม่มีที่จะเดินแล้ว 😅 โดยอาการหวงของที่ว่านี้มักจะมาควบคู่กันกับพฤติกรรมชอบซื้อของนี่แหละ ซึ่งโดยปกติแล้ว สัญญาณแรกเริ่มของโรคอีลูกช่างซื้อนี้ก็คือ
- เริ่มต้นจากการชอบซื้อของที่ไม่จำเป็น หรือจำเป็น (แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมีปริมาณเยอะ) เข้ามาไว้ในบ้าน พอถึงหน้างานก็ไม่ได้ใช้
- พอถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าของมันเริ่มที่จะเยอะเกินไปแล้ว ก็ไม่สามารถตัดสินใจทิ้ง หรือยกให้คนอื่นได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเพราะหวง หรือตัดสินใจไม่ได้ก็ตาม
- พอถึงเวลาที่มีคนอื่นมายุ่งกับข้าวของของเรา ก็จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าของชิ้นนั้นเป็น Safe Zone พอมีคนมาก้าวก่ายก็จะเริ่มรู้สึกหงุดหงิด หรือต่อให้คนนั้นเลิกสนใจไปแล้ว เราก็ต้องมาเช็กของดูอีกทีว่าของยังอยู่ครบดีไหม ก็คือเกิดอาการระแวดระวังในการใช้ชีวิตตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะนำของของเราไปนั่นเอง
ซึ่งใครที่มีอาการไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็ตามอย่างที่ทางเราได้ไล่เรียงไป ก็ให้สันนิษฐานเบื้องต้นไว้ก่อนเลยว่า เพื่อน ๆ อาจจะมีอาการของโรคอีลูกช่างซื้อนี้เข้าให้แล้ว หรือถ้าบางคนอาจจะชอบซื้อก็จริง แต่ก็จะมีช่วงที่โละทิ้ง (ถ้าของชิ้นนั้นหมดอายุ) หรือแจกจ่ายให้กับเพื่อนฝูงบ้าง เมื่อรู้ตัวว่าใช้ไม่ทัน หรือเกิดเบื่อแล้ว อันนี้เพื่อน ๆ ก็อาจจะไม่ได้มีอาการของโรคนี้ แต่อาจจะมีอาการของ โรคบ้าช็อป (Shopaholic) ที่ถือว่าก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มของอาการผิดปกติทางจิตอยู่ดี
สำหรับอาการของโรคบ้าช็อปที่พูดถึง สามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า โรคเสพติดการช็อปปิ้ง โดยลักษณะอาการก็จะมีความคล้ายคลึงกับโรคอีลูกช่างซื้อตรงที่ ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมชอบจับจ่ายซื้อของ ซึ่งบางครั้งอาจจะดูเกินตัวไปนิส จนทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังไม่ว่าจะเป็น ไม่มีที่เก็บของ เงินหมด หรืออยู่ไม่สุข ต้องหาเรื่องให้ช็อปตลอด หรือเห็นอะไรออกใหม่เป็นไม่ได้ ต่อให้ซื้อมาแล้วจะใช้แค่ครั้งสองครั้งก็ต้องเลิกใช้ไป ซึ่งจะแตกต่างจากโรคอีลูกช่างซื้อที่นอกจากจะซื้อมาแล้ว ยังแทบจะไม่ได้ใช้ แถมบทจะทิ้งก็เสียดาย บทจะให้คนอื่นก็หวงนั่นเอง 😫
หน้างานไม่รู้จะเปลี่ยนได้ไหม
แต่ไหนขอลองแกล้ง ๆ ดู " วิธีจัดการกับโรคนี้ " สักหน่อยพอเป็นพิธี
สำหรับใครที่มีอาการอยู่ในเลเวลที่ยังถือว่าปกติอยู่ ก็คือสะสมของที่เป็นของจริง ๆ ไม่ใช่ขยะ อันนี้ก็สามารถจัดการพฤติกรรมการสะสมของของเราให้มีระบบระเบียบขึ้นมาได้ อย่างใครที่สะสมของจนบ้านรก อาจจะใช้วิธีการจัดเก็บของให้เป็นสัดส่วน ของชิ้นไหนพอจะหยิบออกมาใช้ได้ ก็ควรหยิบออกมาใช้ เพราะนอกจากมันจะทำให้พื้นที่ใช้สอยของเราเพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค หรือสิ่งสกปรกได้ด้วย
หรือบางคนถ้ารู้ตัวว่า อาการเริ่มหนัก แบบที่ซื้อมาแล้วยังสงสัยกับตัวเองอยู่เลยว่านี่เราซื้อมาทำไม ? จะให้คนอื่นก็เสียดาย ถ้างั้นก็วางมันทิ้งไว้เฉย ๆ แบบนี้ไปเลยก็แล้วกัน คือนอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองแล้ว มันยังทำให้เราติดเป็นนิสัย ทำให้หาซื้อของมาเติมเรื่อย ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าซื้อมาทำไม) ถ้ารู้ตัวว่าอาการเริ่มไม่ดี หรือส่งผลกระทบกับคนรอบข้าง รวมถึงตัวเราเองแล้ว ทางเราก็ขอแนะนำให้เพื่อน ๆ หาเวลาไปพบจิตแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไข
ซึ่งข่าวดีก็คือ ใครที่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยการบำบัดจิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะช่วยทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นได้ ซึ่งวิธีการรักษาด้วยการบำบัดจิตและปรับพฤติกรรมนี้ยังเหมารวมไปถึงคนที่ชอบสะสมขยะ หรือของอะไรที่มันใช้การไม่ได้แล้ว ก็สามารถรักษาได้ด้วยวิธีนี้เช่นเดียวกันนะ
" จัดบ้านเปลี่ยนชีวิต กับ มาริเอะ คนโด" อีกหนึ่งรายการดี ๆ ที่เราอยากให้เพื่อน ๆ ได้ดู
ส่วนใครที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าอาจจะมีความผิดปกติเกี่ยวกับอารมณ์ หรือความเครียดร่วมด้วย ทางคุณหมออาจจะให้ยาคลายเครียด ร่วมกับการบำบัดจิต และปรับพฤติกรรม ส่วนใครที่ยังไม่ได้ไปพบคุณหมอ แล้วอยากจะหาซื้อยามากินเอง ทางเราขอไม่แนะนำนะ เพราะบางทีสาเหตุของโรคอีลูกช่างซื้อของเรา อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาก็ได้
อันนี้แถมให้อีกนิด สำหรับใครที่ไม่ได้มีอาการของโรคอีลูกช่างซื้อ แต่มีอาการบ้าช็อป แล้วอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการช็อปของตัวเองให้เพลาลงมาหน่อย 😅 วิธีแก้ง่าย ๆ คือ ควรมีสติอยู่กับตัวเสมอ ก่อนจะซื้ออะไรต้องคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้มันจริง ๆ ไม่ใช่ว่าชั้นจะซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า หรือรองเท้าใหม่ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกนอกบ้าน แบบนี้คือบ่ได้เด้อ
💭 โรคอีลูกช่างซื้อ เอาจริง ๆ มันก็แอบเป็นโรคที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ (แต่มันก็เป็นไปแล้ว) แถมเพื่อน ๆ หลายคนที่กำลังอ่านคอนเทนต์นี้กันอยู่ เผลอ ๆ อาจจะมีอาการของโรคนี้อยู่ก็เป็นได้ อย่างทางเราก็คือตบเท้าขอแจมด้วยแล้วหนึ่ง แต่โชคดีที่อาการยังไม่ถึงกับรุนแรงมาก สามารถยับยั้งชั่งใจได้อยู่ ไม่อย่างงั้นก็คือ ฮาวทูทิ้ง ก็ฮาวทูทิ้งเถอะ เจอเราเข้าไปอาจมีหนาว 🤤
ซึ่งตัวอย่างสถานการณ์ของโรคอีลูกช่างซื้อ (ในกรณีที่อ่านเนื้อหาแล้วอาจจะยังเห็นภาพไม่ชัด) เราขอผายมือไปที่ภาพยนตร์เรื่อง ฮาวทูทิ้ง เลยจ้า ก็คือจำลองสถานการณ์ของโรคนี้ได้ดีมาก ถึงแม้ว่าเนื้อหาของภาพยนตร์จะไม่ได้ค่อนไปทางสายช็อปจ๋าขนาดนั้น แต่ก็สามารถนำมายกตัวอย่างในเวย์ของการหวงของเอย ไม่กล้าทิ้งของเอย ใครที่เป็นสายดูหนังแล้วยังไม่เคยดู ก็ลองหามาดูเพิ่มเติมกันได้นะ
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่
- ไขข้อสงสัย มหกรรมลดราคาแห่งปี 9.9 / 11.11 / 12.12 มีที่มาจากไหน?
- 9 เหตุผลที่ควรใช้ บัตรเครดิต - เดบิต ในการซื้อของที่มีมากกว่า "ความสะดวก"
- รวมมาให้ 50 คำคัพท์นักช็อป ! ไว้ CF ของเพลิน ไม่เป็นงงอีกต่อไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : ข่าวสด, ramachannel และ โรงพยาบาลเพชรเวช
โดย imnat
เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)