ข้ามผ่านคลื่นความถี่ที่ 52 ของ 'วาฬ' สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ แต่เทียบไม่ได้กับหัวใจที่ใหญ่กว่า
โดย : imnat
"คุณเคยรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกไหม ?
และคุณคิดว่าในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
จะสามารถแบกรับความรู้สึกได้มากที่สุดแค่ไหน ?"
เมื่อไม่นานมานี้ เรามีโอกาสได้ไปดูหนังคนเดียวครั้งแรกในรอบปี เพียงเพราะเหตุผลสั้น ๆ ที่ถ้าให้พูดออกมาเป็นคำพูด มันก็ออกจะฟังดูเคอะเขินหน่อย ๆ อย่างการ กลัวคนอื่นเห็นว่าเรากำลังร้องไห้ จริงอยู่ที่ว่าการร้องไห้ เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการแสดงออกถึงความเสียใจ ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำกัน แต่สำหรับบางคน (อาทิเช่นเรา) การที่จะต้องมานั่งร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนฝูง หรือคนรู้จัก กลับเป็นอะไรที่ควรจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มากกว่า
มันเลยทำให้การตัดสินใจไปดูหนัง 'เรื่องนี้' ในครั้งนี้ เราแทบจะไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอะไรมาก เพราะเห็นแค่ตัวอย่างหนัง คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่นัย ๆ ว่าเราจะต้องไปดูหนังเรื่องนี้ เพียงคนเดียว เท่านั้น !
The Whale ผลงานการแสดงเรื่องล่าสุดของ Brendan Fraser (เบรนแดน เฟรเซอร์) อดีตดาราดาวรุ่งผู้เคยฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์สุดอมตะอย่าง The Mummy ชายที่เคยผ่านมรสุมครั้งใหญ่ของชีวิต จากเหตุการณ์ที่เขาถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยผู้มีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์ ต่อให้เขาจะรวบรวมความกล้าออกมาพูดถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่เขากลับไม่ได้รับความยุติธรรมจากมันเท่าที่ควร
ต่อให้เขาจะไม่ได้หายไปจากวงการบันเทิงเสียทีเดียว
แต่โชคชะตามักจะชอบเล่นตลก
เพราะต่อให้มองเห็น แต่มันกลับไร้ซึ่งการมีอยู่ของเขาอยู่ดี
จนกระทั่งปี 2022 The Whale หรือภาพยนตร์ในชื่อภาษาไทยว่า เหงาเท่าวาฬ ได้เปิดโอกาสให้เบรนแดน กลับมาโชว์ฝีมือการแสดงกันอีกครั้ง กับบทบาทของชายร่างใหญ่ ที่เผชิญกับปัญหาชีวิตมามากมาย จนทำให้เขาพยายามทำยังไงก็ได้ ให้ตัวเองตาย ๆ ไปซะ ซึ่งการกลับมารับงานแสดงในครั้งนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ตัวละครที่เขาจะต้องมารับบทอย่าง ชาร์ลี ช่างมีชีวิตที่หนักหนาสาหัสพอ ๆ กับมรสุมชีวิตที่ตัวของเขาเคยผ่านมาเลย
The Whale ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่หยิบเอาสิ่งมีชีวิตอย่าง วาฬ มาใช้ในการเปรียบเปรยถึงเนื้อหาสำคัญของเรื่อง เพราะก่อนหน้านี้ วาฬ เคยถูกใช้ในการเปรียบเปรยมาแล้วหลายครั้ง ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ มีรูปร่างและหน้าตาที่น่าเกรงขาม ดูยังไงมันก็ช่างย้อนแย้งกับความเศร้าและโดดเดี่ยวที่หลายคนพยายามจะสื่อถึง
เนื่องด้วยลักษณะโดยทั่วไปของวาฬ มันเป็นสัตว์ที่มักจะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีนิสัยไม่ดุร้าย ไม่ได้จ้องจะทำร้ายมนุษย์ทุกคน เหมือนอย่างที่คนบางกลุ่มถูกฝังหัวกันมา ที่สำคัญวาฬเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก มันสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ไว แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นสัตว์ที่ถูกให้คำนิยามว่าเป็นตัวแทนของความเศร้าและโดดเดี่ยวขึ้นมา ?
คุณเคยรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกไหม ?
ท่ามกลางประชากรทั้งหมดของวาฬ มีวาฬอยู่ 1 ตัว ที่ถูกปล่อยทิ้งให้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ชื่อของมันก็คือ วาฬ 52Hz โดยวาฬ 52Hz เป็นวาฬที่มีความแตกต่างจากวาฬชนิดอื่น ๆ ตรงที่ คลื่นความถี่ที่ใช้ในการสื่อสาร เป็นคลื่นความถี่ที่ไม่เหมือนกันกับวาฬชนิดอื่น ๆ ที่โดยปกติแล้วมักจะมีคลื่นความถี่อยู่ที่ 15-25Hz แต่วาฬชนิดนี้ เป็นวาฬเพียงชนิดเดียวที่ใช้คลื่นความถี่ในการสื่อสารสูงถึง 52Hz นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มัน ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีโอกาสในการหาคู่ ไม่มีโอกาสที่จะเจอเพื่อนฝูงของวาฬด้วยกัน
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และน่าเกรงขามตัวนี้
เลยถูกปล่อยทิ้งให้ลอยคว้างอย่างโดดเดี่ยว
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของท้องทะเล
ถ้าให้จำลองภาพความรู้สึกของวาฬ 52Hz ในมุมมองของมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา หลายคนคงจะพอมีภาพตัวอย่างจากหลาย ๆ เหตุการณ์ในชีวิต ที่พอจะเป็นบทเรียนให้กับการจำลองภาพในครั้งนี้ได้ เพราะในบางครั้ง ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งอย่างเรา แทบจะไม่ต่างจากความโดดเดี่ยวที่วาฬ 52Hz ตัวนี้ได้เผชิญมาสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาความกดดันต่าง ๆ ที่ได้ถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาใด ช่วงเวลาหนึ่ง จนทำให้เรารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากจะปรึกษาใครก็ทำไม่ได้ หรือจะเป็นช่วงเวลาที่เราพยายามแสดงความคิดเห็น หรือพูดอะไรออกไป แต่เสียงของเรากลับส่งไปไม่ถึง หรือไม่มีใครได้ยิน หรือในบางครั้ง ต่อให้เราจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนอื่น ๆ อีกนับร้อย แต่ในทางความรู้สึกแล้ว เรากลับรู้สึกว่ามันแทบไม่ต่างอะไรจากการอยู่คนเดียว
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้สึกเหงา หรือต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวที่ว่านี้เหมือนกันทุกคน ใครที่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี ว่ามันจะไม่มีใครเลยที่ไม่เคยมีประสบการณ์ดังกล่าวนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ต่อให้เราจะไม่ได้เกิดเป็นวาฬ แต่ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวที่ว่า มันก็ทำให้เราแทบไม่ต่างอะไรจากวาฬ 52Hz ตัวนี้สักเท่าไหร่
แล้วคุณคิดว่าในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
จะสามารถแบกรับความรู้สึกได้มากที่สุดแค่ไหน ?
สุข เศร้า เคล้าน้ำตา เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนล้วนต้องเผชิญ ในบางคนอาจจะไม่อยากแสดงมันออกมาให้ใครเห็น ในขณะที่บางคนค่อนข้างจะให้อิสระกับการทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา ในบางคนอาจจะซ่อนความกดดันทุกอย่าง ไว้ภายใต้รอยยิ้มสดใสที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่า สิ่งที่อยู่ในใจของคนที่มีรอยยิ้มสดใสเปื้อนหน้าคนนี้ จะต้องแบกรับความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองแสดงออกมามากแค่ไหน
และต่อให้เราจะมีคำพูดติดปากว่า ไม่เป็นไร แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นนักสู้ หรือเป็นนักแบกรับความรู้สึก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามีอารมณ์และความรู้สึกเหมือน ๆ กัน แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างกัน นั้นอยู่ที่วิธีการ จัดการกับอารมณ์และความรู้สึก ของตัวเองกันมากกว่า
| เก็บมันเอาไว้ ปิดมันเอาไว้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป
คนเราสามารถรู้สึกผิดหวังเสียใจกันได้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิด หรือบางที ต่อให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งใด สิ่งหนึ่งกันไปแล้ว แต่ถ้าผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เราก็ไม่ควรรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเลือก มันผิดไปแล้ว มันพลาดไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตของตัวเองได้ แต่สิ่งเราสามารถทำได้ คือการแก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยใช้ประสบการณ์จากความผิดหวังในครั้งนั้น มาเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของชีวิต
ซึ่งการแสดงออกถึงความเสียใจ หลายคนอาจจะมี จังหวะที่ใช่ ในการแสดงออกที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นเรา ที่มักจะใช้หนัง หนังสือ หรือแม้กระทั่งซีรีส์ตอนละไม่เกิน 20 นาที เป็นตัวนำพาให้เราได้ปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกบางอย่าง โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปบีบเค้น หรือไปเร่งระบายมันออกมาโดยความไม่จำเป็น
เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกไม่สบายใจ ให้รีบหาทางออกของตัวเองในการปลดปล่อยมันออกมา การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย การได้ระบายกับตัวเองเวลาอยู่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลก ต่างคน ต่างมีวิธีการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ที่สำคัญคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องแบกทุกอย่างเอาไว้
ถ้ารู้สึกว่าหนักเกินไป วางมันลงสักหน่อยก็ยังดี
| อย่ามัวเห็นแก่คนอื่น จนลืมแคร์ความรู้สึกของตัวเอง
คนบางคน มัวแต่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น เดือดร้อนแทนความรู้สึกของคนอื่น จนลืมที่จะหันกลับมามองดูตัวเอง ว่าตอนนี้ตัวของฉันเป็นยังไง สภาพจิตใจข้างในโอเคไหม หรือมีอะไรที่ฉันกำลังหนักใจอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งที่ใครคนนั้นเลือกทำ คือการหันไปถามคนอื่น ว่าเธอโอเคไหม มีอะไรปรึกษาเราได้นะ
ทั้ง ๆ ที่ ตัวคุณ ควรจะเป็นคนแรก ที่ถูกถามคำถามนี้ การที่เราให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เพราะในบางครั้ง เราก็ควรจะมองข้ามสายตาของคนอื่นออกไปบ้าง เพราะความบิดเบียวทางทัศนคติไม่ว่าจะเป็นของเรา หรือของใคร มันมีผลต่อการใช้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งได้จริง ๆ
โปรดอย่าทำร้ายความรู้สึกของตัวเองด้วยความบิดเบียวทางทัศนคติที่เรากำลังใช้คาดโทษตัวเองกันอยู่ การใจดีกับตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เราควรหาเวลาเคลียร์ความคิดมั่ว ๆ ซั่ว ๆ ของตัวเองออกไปบ้าง กลับมาทบทวนสภาพจิตใจที่แท้จริงของตัวเองบ้าง ว่าตอนนี้ข้างในเราบอบช้ำมากแค่ไหน รีบฮีล รีบเยียวยาหัวใจ ก่อนที่จะหันไปเยียวยาคนอื่นอีกที
เพราะถ้าคุณยังเยียวยาสภาพจิตใจของตัวเองไม่ได้
นับประสาอะไรกับการอ้าแขนเข้าไปดูแลคนอื่น
ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณ ยังไม่มีความสามารถในการดูแลตัวเองเลย
| อย่าดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ ตราบใดที่ชีวิตยังต้องเดินต่อ
อย่าใช้วิธี หนีปัญหา เหมือน 'ชาร์ลี' ตัวละครจากเรื่อง The Whale โดยเด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่ตัวเขามีเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่เขากลับจมปลักอยู่กับความคิดอันบิดเบียวของตัวเอง จนทำให้เผลอมองข้ามคนใกล้ตัวกันไป ทั้ง ๆ ที่คน ๆ นั้นมีความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าตัวของเขาจะสามารถกลับมาเป็นชาร์ลีคนเดิมได้
แต่สิ่งที่ชาร์ลีทำ คือการดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ อนาคตของเขาจะไม่มีทางดีขึ้นไปมากกว่านี้ได้ ซึ่งมันก็ละม้ายคล้ายคลึงกับความคิดของใครบางคน ที่มักจะชอบดูถูกตัวเอง กล่าวหาว่าโลกใบนี้ใจร้ายกับตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตัวของเขายังไม่พยายามที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองกันเลย
โอกาสไม่ได้ถูกหยิบยื่นมาให้ใครบ่อย ๆ
ศรัทธาในตัวเองก็เช่นกัน
ตราบใดที่เรายังมีความสามารถในการลุกขึ้นสู้ต่อ
ได้โปรด... อย่าดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้กันเลย
อย่าสาปแช่งชีวิตของตัวเอง อย่ากล่าวหาว่าชีวิตของคุณมันเหลวเป๋ว มันโชคร้าย คุณไม่สงสารตัวเองกันบ้างหรอ ที่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ชีวิตของเรายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด มันยังต้องดำเนินต่อ แค่ตั้งความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วพยายามทำมันให้สำเร็จทีละนิด ทีละหน่อย นั่นถือว่าเป็นกำไรของชีวิตที่ดีมาก ๆ ต่อให้คุณจะไม่นึกถึงตัวเอง มองข้ามความสำคัญตัวเอง แต่ขอให้นึกถึงคนที่ยังศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวเรา คุณจะยอมทิ้งความศรัทธาอันมีค่าเหล่านั้นให้เปล่าประโยชน์ไปจริง ๆ หรอ ?
ข้ามผ่านคลื่นความถี่ที่ 52 ของวาฬ
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ แต่เทียบไม่ได้กับหัวใจที่ใหญ่กว่า
โดยปกติแล้ว อายุขัยโดยเฉลี่ยของวาฬจะอยู่ระหว่าง 30 - 90 ปี ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์คนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้วาฬกับมนุษย์เราแตกต่างกันนั้นก็คือ โอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คิดดูสิว่าต่อให้เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ต้องทำอะไรคนเดียว แต่ทว่าภาพที่ปรากฏออกมา มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เรายังมีโอกาสในการตามหาใครสักคนที่พร้อมจะรับฟัง และเข้าใจเราได้มากกว่าวาฬ 52Hz ตัวนี้อีกด้วยซ้ำ
เพียงแค่กำลังใจเล็ก ๆ จากใครบางคนที่ส่งมา ก็นับว่ามีค่ามาก ยิ่งถ้าเราได้เจอกับใครคนนั้นเมื่อไหร่ อย่าได้มองข้ามคนที่เห็นคุณค่าในตัวเราคนนั้นไปโดยเด็ดขาด สำคัญที่สุดคืออย่าดูถูกตัวเอง ว่าเราไม่สามารถข้ามผ่านความโดดเดี่ยว หรือความผิดหวังเสียใจกันได้ เพราะชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ขนาดวาฬ 52Hz ตัวนี้ ยังใช้ชีวิตเพียงลำพังมาเป็นสิบ ๆ ปี แล้วนับประสาอะไรกับเรากันล่ะ ?
I hope you know what an amazing person you are.
ฉันหวังว่าเธอจะรู้ ว่าจริง ๆ แล้ว เธอเป็นคนที่น่าทึ่งมากแค่ไหน
- ชาร์ลี ตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง The Whale -
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ที่นี่
- เข้าใจหัวอกคนรักรองเท้า ผ่านซีรีส์ "Sneakerheads" ซีรีส์ที่จะทำให้เรากล้าต่อสู้เพื่อเสียงหัวใจของตัวเอง
- "ต่อต้าน ไม่เอาใคร" Goth (กอธ) Subculture ที่ถูกมองว่าเป็นขบถตัวร้ายของสังคม
- พักก่อน ! สังคมชายเป็นใหญ่ ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ทำไมเรายังย่ำอยู่กับที่
โดย imnat
เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)
บทความ ที่คุณอาจจะสนใจ