Smart TV กับ Android TV ต่างกันยังไง แบบไหนเหมาะกับใครมากกว่า?

avatar writer
โดย : Xyanyde
avatar writer18 ต.ค. 2566 avatar writer5.1 K
Smart TV กับ Android TV ต่างกันยังไง แบบไหนเหมาะกับใครมากกว่า?

 

ทุกวันนี้บอกเลยว่าทีวีรุ่นธรรมดา ๆ เสียบสายกับเสาโทรทัศน์หาซื้อยากกว่าสมาร์ททีวีที่สามารถเชื่อมต่อกับเน็ตเพื่อดูหนังดูซีรีส์ได้ซะอีก ด้วยราคาที่ลดลงมาเยอะจนใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของได้นั่นแหละ...แต่เวลาจะเลือกซื้อทั้งที หลาย ๆ คนอาจไม่ได้สนใจว่ามันเป็น Smart TV หรือ Android TV กันแน่ (ดู Netflix ได้ก็พอใจแล้ว) แต่จริง ๆ ทีวีทั้ง 2 แบบนี้ มันมีข้อแตกต่าง และข้อดีข้อด้อยของตัวเองอยู่นะ ส่วนจะมีอะไร มาดูกันเลยจ้า

 


 

Smart TV กับ Android TV ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน 📺

 

จริง ๆ แล้วทั้ง Smart TV กับ Android TV เนี่ย มันก็เรียกรวม ๆ ว่าเป็น Smart TV ได้แหละ เพราะทั้งคู่ล้วนมากับความอัจฉริยะหลาย ๆ ด้าน ทั้งการต่อเน็ต ดาวน์โหลดแอปดูหนัง ดาวน์โหลดเกม หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆ ได้ แต่ถ้าจะลงลึกไปอีกเนี่ย สินค้าประเภท Smart TV จะเป็นทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการแยกของใครของมัน อย่างในบ้านเราก็มี Samsung, LG, HUAWEI

 

 

Smart TV

Tizen : Samsung

 

Smart TV

WebOS : LG

 

 

Smart TV

Harmony OS : HUAWEI

 

 

ส่วนพวก Android TV จะมีตัวเลือกหลากหลายกว่าทั้ง Sony, TCL, Hisense, Skyworth และยี่ห้ออื่น ๆ รวมถึงพวก Android TV Box ที่ซื้อมาต่อกับทีวีด้วย

 

Smart TV

 

 

Google TV กำลังมาแทนที่ Android TV

 

และนอกจาก Smart TV, Android TV แล้ว ยังมี Google TV เข้ามาอีกนะ...จริง ๆ แล้ว Google TV เป็นระบบที่อัปเกรดขึ้นมาจาก Android TV อีกทีนึง โดยการใช้งานหลัก ๆ จะไม่แตกต่างจาก Android TV เท่าไหร่ รวมถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็แทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ เลย ซึ่งในปัจจุบันค่ายผู้ผลิตทีวีอย่าง Sony, TCL, Hisense, Skyworth เริ่มเปลี่ยนมาผลิต Google TV แทนแล้ว ส่วน Android TV ในอนาคตก็น่าจะไม่ค่อยมีผลิตออกมาอีกต่อไป

 

 

Smart TV


 

Smart TV

ระบบปฏิบัติการ / แอป

 

อย่างที่บอกไปว่าสมาร์ททีวีจะใช้ระบบปฏิบัติการที่แต่ละค่ายพัฒนาขึ้นมาเอง อย่างเจ้าตลาดทีวี Samsung จะใช้ระบบ Tizen OS, ของ LG ใช้ระบบ WebOS, ของ HUAWEI ใช้ระบบ HarmonyOS ซึ่งแต่ละระบบจะมีหน้าตาเมนู (UI) และฟีเจอร์แตกต่างกันออกไป รวมถึงเหล่าแอปที่มีให้โหลดเพิ่มก็จะไม่เหมือนกันด้วย อย่างพวกแอปเกม, แอปการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ, แอปเว็บเบราว์เซอร์สำหรับเล่นเน็ต เป็นต้น

 

 

Smart TV

 

แต่แอปที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพวกแอปดูหนังออนไลน์หรือสตรีมมิ่งอย่าง YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar, HBO Go, Prime Video, VIU, iQIYI พวกนี้ แทบจะเป็นแอปสามัญประจำเครื่องของสมาร์ททีวีสมัยนี้ไปแล้ว (อันนี้เป็นข้อยกเว้นของทีวี HUAWEI ระบบ Harmony OS ที่ยังไม่มีแอปสตรีมมิ่งดัง ๆ อย่าง Netflix หรือ VIU ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เริ่มใส่เข้ามารึยัง ต้องไปลองกับทางร้านอีกทีนะครับ เพื่อความชัวร์)

 

แต่จะมีข้อเสียตรงที่แอปของ Smart TV จะได้รับการอัปเดตช้ากว่า เช่นแอป Netflix อัปเดตเพิ่มฟีเจอร์อะไรใหม่ ๆ เข้ามาสำหรับมือถือ iPhone, Android หรือ Android TV แล้ว แต่แอป Netflix บน Tizen OS หรือ WebOS ต้องรอไปอีกซักพักเลยกว่าจะได้กัน

 


 

ใช้งานง่าย

 

Smart TV มีเมนูที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายกว่า คือเปิดเครื่องครั้งแรกเชื่อมเน็ตปุ๊บก็ใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องลงชื่อเข้า Google ก่อน (แต่ถ้าจะดู YouTube หรือ Netflix ก็ต้องลงทะเบียนอยู่ดีนะจ๊ะ...) คือถ้ามีกล่องทีวีดิจิทัลก็เสียบเข้าเครื่องแล้วดูได้เลย

 

นอกจากนี้การใช้งานรวม ๆ ของสมาร์ททีวีจะค่อนข้างลื่นไหลด้วย เพราะสเปคของตัวทีวีจะแรงพอสำหรับรันระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว เวลาเลื่อนเมนู เปิดแอป จะไม่ค่อยหน่วงเท่าไหร่

 

Smart TV

WebOS ทีวี LG ใช้งานง่ายมาก เลื่อนซ้ายขวาหาแอปเอาสบาย ๆ


 

ระบบสั่งงานด้วยเสียง

 

สมาร์ททีวีบางรุ่นจะมีรีโมทที่มีไมโครโฟนในตัว หรือไมโครโฟนที่ตัวทีวีเอง สำหรับการสั่งงานด้วยเสียง เช่น สั่งให้เล่นซีรีส์จากแอป Netflix เป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะเพิ่มความสะดวกขึ้นมาอีกหน่อย เพราะบางทีชื่อหนังหรือซีรีส์ก็ย้าวยาวจนขี้เกียจพิมพ์เอง (การใช้รีโมทเพื่อพิมพ์ตัวหนังสือบนทีวีเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก) 

 

 

Smart TV

 

 

และจะมีสมาร์ททีวีบางรุ่นที่มากับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant หรือ Alexa ด้วย ทำให้เราสามารถสั่งงานด้วยเสียงจากมือถือของเราได้เลย...แต่อย่างที่บอกคือเฉพาะ "สมาร์ททีวีบางรุ่น" เท่านั้นนะครับที่รองรับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ

 

 

Smart TV

Samsung และ LG บางรุ่นจะมากับผู้ช่วยอัจฉริยะให้เลือกหลายแบบ


 

ไม่รองรับ Chromecast

 

Chromecast คืออะไร?

 

อาจจะมีบางคนที่ไม่รู้ว่า Chromecast คืออะไร และมันดียังไง ก็ขออธิบายแบบสั้น ๆ ให้ว่า Chromecast เป็นฟีเจอร์ ที่เหมาะสุด ๆ สำหรับคนชอบดูสตรีมมิ่ง เพราะมันสะดวกมาก ๆ เลย อย่างเวลาจะดูหนังดูซีรีส์จาก Netflix หรือจะดู YouTube ก็แค่เปิดเรื่องที่ต้องการบนมือถือ (ได้ทั้ง iPhone / Android) จากนั้นกดใช้ฟีเจอร์ Chromecast แล้วเลือกไปที่ Android TV ของเรา วิดีโอที่เราเลือกก็จะไปเล่นบนทีวีให้เลย 

 

แถมระหว่างที่เล่นอยู่ เราสามารถใช้มือถือได้ตามปกติ เพราะมันไม่ใช่การยิงภาพหน้าจอมือถือขึ้นทีวีเฉย ๆ แต่เป็นการสั่งให้ Android TV เล่นคอนเทนต์จากแอปที่มีอยู่ในตัวทีวีเอง ซึ่งพอเล่นแล้วมือถือก็จะไม่จำเป็นต้องใช้ต่อ (แต่ใช้มือถือในการบังคับแอปบนทีวีแทนรีโมทได้นะ)

 

 

Smart TV

Cast หนังขึ้นจอทีวีแล้ว เอามือถือไปใช้อย่างอื่นได้

 

สมาร์ททีวีไม่มี Chromecast

 

ฟีเจอร์ Chromecast นี้แหละที่ Smart TV ไม่มีให้ใช้ จะมีก็แค่ฟีเจอร์ประเภท Screen Mirroring / Screen Share ที่จะแสดงภาพหน้าจอของมือถือบนจอทีวี ซึ่งมันก็ใช้ดูหนังหรือดูคลิปจากมือถือบนจอทีวีได้เหมือนกัน แต่ในระหว่างนั้นเราไม่สามารถใช้มือถือทำอย่างอื่นได้เหมือนกับตอนใช้ Chromecast

 

 

Smart TV

 


 

ข้อดี และข้อด้อยของ Smart TV

ข้อดี

  • UI ใช้งานง่าย
  • ไม่ต้องตั้งค่าเยอะก่อนใช้งาน
  • การใช้งานลื่นไหล เพราะสเปคเครื่องเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ

 

ข้อด้อย

  • แอปไม่หลากหลาย
  • อัปเดตระบบ และอัปเดตแอปไม่บ่อย
  • ไม่รองรับ Chromecast

 


 

Smart TV เหมาะกับใคร

 

สรุปแล้วสมาร์ททีวีเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการทีวีที่มีลูกเล่นอะไรมากมาย แค่เน้นดูสตรีมมิ่งจากแอปฮิต ๆ อย่าง YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar, VIU ฯลฯ ได้ก็พอแล้ว แถมไม่ต้องตั้งค่าอะไรมากมายด้วย 

 

 


 

Android TV / Google TV

 

ระบบปฏิบัติการ / แอป

 

ทีวีจากค่ายอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ผลิตสมาร์ททีวีอย่าง Sony, TCL, Hisense, Skyworth ฯลฯ จะใช้ระบบปฏิบัติการ Android TV กับ Google TV ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มันมีฟีเจอร์ให้เล่นเยอะกว่า มีแอปให้เลือกใช้มากกว่า เนื่องจากมันใช้ร้านค้าแอปเดียวกันกับมือถือ Android นั่นเอง (แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาแอปจากมือถือมาลงทีวีได้ทั้งหมดนะครับ) 

 

แน่นอนว่าแอปดูหนังฮิต ๆ ทั้ง YouTube, Netflix, VIU ฯลฯ มาครบหมด แถมยังมีเกมให้เลือกโหลดมาเล่นกันได้เพียบด้วย ซึ่งข้อดีของการที่ Android TV กับ Google TV ใช้แอปที่มาจากแหล่งเดียวกับมือถือ Android ก็คือจะได้รับการอัปเดตที่บ่อยกว่า และเร็วกว่าแอปของ Smart TV นั่นเอง

 

 

Smart TV


 

ใช้งานยากกว่า (นิดหน่อย)

 

การใช้งานครั้งแรกของ Android TV และ Google TV จะดูยุ่งยากไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยถนัดกับการใช้งาน Smart Device เพราะเปิดทีวีมาปุ๊บก็ต้องเชื่อมต่อเน็ต ลงทะเบียน Google Account และทำนู่นทำนี่อีก ซึ่งใช้เวลาซักพักเลยกว่าจะใช้งานได้

 

 

Smart TV


 

การใช้งานอาจหน่วง หากทีวีสเปคต่ำ

 

เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Android TV มีการทำงานที่ซับซ้อนกว่าระบบปฏิบัติการของ Smart TV ทำให้ทีวีที่มีสเปคเครื่องต่ำเกิดอาการหน่วงเวลาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนเมนู การเปิดแอป จะหน่วงจนพาลให้หงุดหงิดเอาได้ง่าย ๆ ยิ่งหากว่าเราเปิดเครื่องแล้วเข้าแอปนู้นแอปนี้บ่อย ๆ และตอนเลิกใช้ก็ไม่ได้ปิดเครื่อง (ผู้ใช้ส่วนมากจะกดปิดจากรีโมทซึ่งเป็นการ Standby เอาไว้เฉย ๆ ไม่ได้ปิดเครื่องจริง ๆ) ทำให้แอปที่เคยเปิดไว้ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง จนเครื่องอืดหรือบางทีก็เอ๋อไปเลย จนต้องถอดปลั๊ก

 


 

ระบบสั่งงานด้วยเสียง

 

Android TV กับ Google TV ส่วนมากจะมากับผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ซึ่งสั่งงานผ่านไมโครโฟนบนรีโมทได้เลย (แต่บางรุ่นที่ราคาถูก ๆ ก็จะไม่มีฟีเจอร์นี้มาให้ด้วยนะ) แต่การสั่งงานจาก Android TV จะพิเศษกว่า Smart TV เพราะไม่ใช่ทำได้แค่สั่งเปิดหนังเท่านั้นนะ แต่หากว่าเรามีอุปกรณ์ Smart Home อยู่ในบ้าน ก็สามารถสั่งงานผ่านทีวีได้ด้วยอย่างเช่น สั่งเปิด-ปิดไฟ, สั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงาน, สั่งให้เปิดพัดลม ฯลฯ

 

Android TV กับ Google TV บางรุ่นจะสามารถสั่งเปิด-ปิดเครื่องจากมือถือด้วยการสั่งงานผ่าน ผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ได้ด้วยนะ   

 

Smart TV

 


  

ใช้งาน Chromecast ได้

 

อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า Chromecast คืออะไร...ซึ่ง Android TV กับ Google TV ทุกรุ่นสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ตั้งแต่แรกเลย ทำให้เวลาจะดู YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar และอื่น ๆ บนทีวี ทำได้แบบง่ายสุด ๆ เพราะกดเล่นหนังหรือค้นหาหนังจากแอปบนมือถือ แล้วสั่งให้ไปเล่นบนทีวีได้ทันที 

 

ซึ่งพอหนังไปเล่นบนหน้าจอทีวีแล้ว เราก็เอามือถือไปใช้มือถือต่อได้ ไม่เหมือนฟีเจอร์ Mirroring ของ Smart TV ที่ใช้การยิงภาพหน้าจอมือถือขึ้นไปบนทีวี ทำให้เวลาจะดูอะไรก็ต้องเปิดมือถือวางไว้เฉย ๆ เพราะถ้าออกจากแอปหนังไปทำอย่างอื่น จอทีวีก็จะออกมาด้วยนั่นเอง

 


 

ข้อดี และข้อด้อยของ Android TV / Google TV

ข้อดี

  • มีแอปให้เลือกใช้เยอะ
  • ผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ใช้งานได้หลากหลายกว่า
  • แอป และระบบปฏิบัติการได้รับอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ และไวกว่า

 

ข้อด้อย

  • UI ยุ่งยากกว่า Smart TV นิดหน่อย
  • ก่อนใช้งานต้องตั้งค่าเยอะ
  • ถ้าทีวีสเปคต่ำ จะทำงานช้า และหน่วงจนน่าหงุดหงิด ต้องปิดเครื่อง-เปิดใหม่ หรือดึงปลั๊กออก

 


 

Android TV / Google TV เหมาะกับใคร

 

Android TV กับ Google TV จริง ๆ แล้วมีความสามารถทุกอย่างที่ Smart TV ทำได้ แต่ด้วยความที่มันทำอะไรได้เยอะแยะนี่แหละ ทำให้มันเหมาะกับคนที่เคยใช้มือถือ Android มาบ้าง เพราะตั้งแต่การตั้งค่าเครื่อง และการใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเกือบ ๆ เหมือนกับการใช้มือถือนี่แหละ

 

แต่หากว่าใครที่ใช้ Smart TV อยู่ แล้วอยากใช้ฟีเจอร์ที่มีเฉพาะใน Android TV เท่านั้น ก็สามารถไปหาซื้อพวก Android TV Box มาเสียบเอาได้เหมือนกันนะครับ (ราคาไม่แรงมาก มีตั้งแต่ราคาหลักพันกว่าบาทขึ้นไป)

 


 

ที่มา : https://ppro.pro/3QldTJn, https://ppro.pro/3M5pmKE

  • avatar writer
    โดย Xyanyde
    เรื่องเทคโนโลยี หรืออะไรที่มันล้ำ ๆ ขอให้บอกเท้อออ
แสดงความคิดเห็น