Smart TV กับ Android TV ต่างกันยังไง แบบไหนเหมาะกับใครมากกว่า?
โดย : Xyanyde
ทุกวันนี้บอกเลยว่าทีวีรุ่นธรรมดา ๆ เสียบสายกับเสาโทรทัศน์หาซื้อยากกว่าสมาร์ททีวีที่สามารถเชื่อมต่อกับเน็ตเพื่อดูหนังดูซีรีส์ได้ซะอีก ด้วยราคาที่ลดลงมาเยอะจนใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของได้นั่นแหละ...แต่เวลาจะเลือกซื้อทั้งที หลาย ๆ คนอาจไม่ได้สนใจว่ามันเป็น Smart TV หรือ Android TV กันแน่ (ดู Netflix ได้ก็พอใจแล้ว) แต่จริง ๆ ทีวีทั้ง 2 แบบนี้ มันมีข้อแตกต่าง และข้อดีข้อด้อยของตัวเองอยู่นะ ส่วนจะมีอะไร มาดูกันเลยจ้า
Smart TV กับ Android TV ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน 📺
จริง ๆ แล้วทั้ง Smart TV กับ Android TV เนี่ย มันก็เรียกรวม ๆ ว่าเป็น Smart TV ได้แหละ เพราะทั้งคู่ล้วนมากับความอัจฉริยะหลาย ๆ ด้าน ทั้งการต่อเน็ต ดาวน์โหลดแอปดูหนัง ดาวน์โหลดเกม หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆ ได้ แต่ถ้าจะลงลึกไปอีกเนี่ย สินค้าประเภท Smart TV จะเป็นทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการแยกของใครของมัน อย่างในบ้านเราก็มี Samsung, LG, HUAWEI
Tizen : Samsung
WebOS : LG
Harmony OS : HUAWEI
ส่วนพวก Android TV จะมีตัวเลือกหลากหลายกว่าทั้ง Sony, TCL, Hisense, Skyworth และยี่ห้ออื่น ๆ รวมถึงพวก Android TV Box ที่ซื้อมาต่อกับทีวีด้วย
Google TV กำลังมาแทนที่ Android TV
และนอกจาก Smart TV, Android TV แล้ว ยังมี Google TV เข้ามาอีกนะ...จริง ๆ แล้ว Google TV เป็นระบบที่อัปเกรดขึ้นมาจาก Android TV อีกทีนึง โดยการใช้งานหลัก ๆ จะไม่แตกต่างจาก Android TV เท่าไหร่ รวมถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็แทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ เลย ซึ่งในปัจจุบันค่ายผู้ผลิตทีวีอย่าง Sony, TCL, Hisense, Skyworth เริ่มเปลี่ยนมาผลิต Google TV แทนแล้ว ส่วน Android TV ในอนาคตก็น่าจะไม่ค่อยมีผลิตออกมาอีกต่อไป
Smart TV
ระบบปฏิบัติการ / แอป
อย่างที่บอกไปว่าสมาร์ททีวีจะใช้ระบบปฏิบัติการที่แต่ละค่ายพัฒนาขึ้นมาเอง อย่างเจ้าตลาดทีวี Samsung จะใช้ระบบ Tizen OS, ของ LG ใช้ระบบ WebOS, ของ HUAWEI ใช้ระบบ HarmonyOS ซึ่งแต่ละระบบจะมีหน้าตาเมนู (UI) และฟีเจอร์แตกต่างกันออกไป รวมถึงเหล่าแอปที่มีให้โหลดเพิ่มก็จะไม่เหมือนกันด้วย อย่างพวกแอปเกม, แอปการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ, แอปเว็บเบราว์เซอร์สำหรับเล่นเน็ต เป็นต้น
แต่แอปที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพวกแอปดูหนังออนไลน์หรือสตรีมมิ่งอย่าง YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar, HBO Go, Prime Video, VIU, iQIYI พวกนี้ แทบจะเป็นแอปสามัญประจำเครื่องของสมาร์ททีวีสมัยนี้ไปแล้ว (อันนี้เป็นข้อยกเว้นของทีวี HUAWEI ระบบ Harmony OS ที่ยังไม่มีแอปสตรีมมิ่งดัง ๆ อย่าง Netflix หรือ VIU ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เริ่มใส่เข้ามารึยัง ต้องไปลองกับทางร้านอีกทีนะครับ เพื่อความชัวร์)
แต่จะมีข้อเสียตรงที่แอปของ Smart TV จะได้รับการอัปเดตช้ากว่า เช่นแอป Netflix อัปเดตเพิ่มฟีเจอร์อะไรใหม่ ๆ เข้ามาสำหรับมือถือ iPhone, Android หรือ Android TV แล้ว แต่แอป Netflix บน Tizen OS หรือ WebOS ต้องรอไปอีกซักพักเลยกว่าจะได้กัน
ใช้งานง่าย
Smart TV มีเมนูที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายกว่า คือเปิดเครื่องครั้งแรกเชื่อมเน็ตปุ๊บก็ใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องลงชื่อเข้า Google ก่อน (แต่ถ้าจะดู YouTube หรือ Netflix ก็ต้องลงทะเบียนอยู่ดีนะจ๊ะ...) คือถ้ามีกล่องทีวีดิจิทัลก็เสียบเข้าเครื่องแล้วดูได้เลย
นอกจากนี้การใช้งานรวม ๆ ของสมาร์ททีวีจะค่อนข้างลื่นไหลด้วย เพราะสเปคของตัวทีวีจะแรงพอสำหรับรันระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว เวลาเลื่อนเมนู เปิดแอป จะไม่ค่อยหน่วงเท่าไหร่
WebOS ทีวี LG ใช้งานง่ายมาก เลื่อนซ้ายขวาหาแอปเอาสบาย ๆ
ระบบสั่งงานด้วยเสียง
สมาร์ททีวีบางรุ่นจะมีรีโมทที่มีไมโครโฟนในตัว หรือไมโครโฟนที่ตัวทีวีเอง สำหรับการสั่งงานด้วยเสียง เช่น สั่งให้เล่นซีรีส์จากแอป Netflix เป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะเพิ่มความสะดวกขึ้นมาอีกหน่อย เพราะบางทีชื่อหนังหรือซีรีส์ก็ย้าวยาวจนขี้เกียจพิมพ์เอง (การใช้รีโมทเพื่อพิมพ์ตัวหนังสือบนทีวีเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก)
และจะมีสมาร์ททีวีบางรุ่นที่มากับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant หรือ Alexa ด้วย ทำให้เราสามารถสั่งงานด้วยเสียงจากมือถือของเราได้เลย...แต่อย่างที่บอกคือเฉพาะ "สมาร์ททีวีบางรุ่น" เท่านั้นนะครับที่รองรับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ
Samsung และ LG บางรุ่นจะมากับผู้ช่วยอัจฉริยะให้เลือกหลายแบบ
ไม่รองรับ Chromecast
Chromecast คืออะไร?
อาจจะมีบางคนที่ไม่รู้ว่า Chromecast คืออะไร และมันดียังไง ก็ขออธิบายแบบสั้น ๆ ให้ว่า Chromecast เป็นฟีเจอร์ ที่เหมาะสุด ๆ สำหรับคนชอบดูสตรีมมิ่ง เพราะมันสะดวกมาก ๆ เลย อย่างเวลาจะดูหนังดูซีรีส์จาก Netflix หรือจะดู YouTube ก็แค่เปิดเรื่องที่ต้องการบนมือถือ (ได้ทั้ง iPhone / Android) จากนั้นกดใช้ฟีเจอร์ Chromecast แล้วเลือกไปที่ Android TV ของเรา วิดีโอที่เราเลือกก็จะไปเล่นบนทีวีให้เลย
แถมระหว่างที่เล่นอยู่ เราสามารถใช้มือถือได้ตามปกติ เพราะมันไม่ใช่การยิงภาพหน้าจอมือถือขึ้นทีวีเฉย ๆ แต่เป็นการสั่งให้ Android TV เล่นคอนเทนต์จากแอปที่มีอยู่ในตัวทีวีเอง ซึ่งพอเล่นแล้วมือถือก็จะไม่จำเป็นต้องใช้ต่อ (แต่ใช้มือถือในการบังคับแอปบนทีวีแทนรีโมทได้นะ)
Cast หนังขึ้นจอทีวีแล้ว เอามือถือไปใช้อย่างอื่นได้
สมาร์ททีวีไม่มี Chromecast
ฟีเจอร์ Chromecast นี้แหละที่ Smart TV ไม่มีให้ใช้ จะมีก็แค่ฟีเจอร์ประเภท Screen Mirroring / Screen Share ที่จะแสดงภาพหน้าจอของมือถือบนจอทีวี ซึ่งมันก็ใช้ดูหนังหรือดูคลิปจากมือถือบนจอทีวีได้เหมือนกัน แต่ในระหว่างนั้นเราไม่สามารถใช้มือถือทำอย่างอื่นได้เหมือนกับตอนใช้ Chromecast
ข้อดี และข้อด้อยของ Smart TV
ข้อดี
- UI ใช้งานง่าย
- ไม่ต้องตั้งค่าเยอะก่อนใช้งาน
- การใช้งานลื่นไหล เพราะสเปคเครื่องเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ
ข้อด้อย
- แอปไม่หลากหลาย
- อัปเดตระบบ และอัปเดตแอปไม่บ่อย
- ไม่รองรับ Chromecast
Smart TV เหมาะกับใคร
สรุปแล้วสมาร์ททีวีเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการทีวีที่มีลูกเล่นอะไรมากมาย แค่เน้นดูสตรีมมิ่งจากแอปฮิต ๆ อย่าง YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar, VIU ฯลฯ ได้ก็พอแล้ว แถมไม่ต้องตั้งค่าอะไรมากมายด้วย
Android TV / Google TV
ระบบปฏิบัติการ / แอป
ทีวีจากค่ายอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ผลิตสมาร์ททีวีอย่าง Sony, TCL, Hisense, Skyworth ฯลฯ จะใช้ระบบปฏิบัติการ Android TV กับ Google TV ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มันมีฟีเจอร์ให้เล่นเยอะกว่า มีแอปให้เลือกใช้มากกว่า เนื่องจากมันใช้ร้านค้าแอปเดียวกันกับมือถือ Android นั่นเอง (แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาแอปจากมือถือมาลงทีวีได้ทั้งหมดนะครับ)
แน่นอนว่าแอปดูหนังฮิต ๆ ทั้ง YouTube, Netflix, VIU ฯลฯ มาครบหมด แถมยังมีเกมให้เลือกโหลดมาเล่นกันได้เพียบด้วย ซึ่งข้อดีของการที่ Android TV กับ Google TV ใช้แอปที่มาจากแหล่งเดียวกับมือถือ Android ก็คือจะได้รับการอัปเดตที่บ่อยกว่า และเร็วกว่าแอปของ Smart TV นั่นเอง
ใช้งานยากกว่า (นิดหน่อย)
การใช้งานครั้งแรกของ Android TV และ Google TV จะดูยุ่งยากไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยถนัดกับการใช้งาน Smart Device เพราะเปิดทีวีมาปุ๊บก็ต้องเชื่อมต่อเน็ต ลงทะเบียน Google Account และทำนู่นทำนี่อีก ซึ่งใช้เวลาซักพักเลยกว่าจะใช้งานได้
การใช้งานอาจหน่วง หากทีวีสเปคต่ำ
เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Android TV มีการทำงานที่ซับซ้อนกว่าระบบปฏิบัติการของ Smart TV ทำให้ทีวีที่มีสเปคเครื่องต่ำเกิดอาการหน่วงเวลาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนเมนู การเปิดแอป จะหน่วงจนพาลให้หงุดหงิดเอาได้ง่าย ๆ ยิ่งหากว่าเราเปิดเครื่องแล้วเข้าแอปนู้นแอปนี้บ่อย ๆ และตอนเลิกใช้ก็ไม่ได้ปิดเครื่อง (ผู้ใช้ส่วนมากจะกดปิดจากรีโมทซึ่งเป็นการ Standby เอาไว้เฉย ๆ ไม่ได้ปิดเครื่องจริง ๆ) ทำให้แอปที่เคยเปิดไว้ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง จนเครื่องอืดหรือบางทีก็เอ๋อไปเลย จนต้องถอดปลั๊ก
ระบบสั่งงานด้วยเสียง
Android TV กับ Google TV ส่วนมากจะมากับผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ซึ่งสั่งงานผ่านไมโครโฟนบนรีโมทได้เลย (แต่บางรุ่นที่ราคาถูก ๆ ก็จะไม่มีฟีเจอร์นี้มาให้ด้วยนะ) แต่การสั่งงานจาก Android TV จะพิเศษกว่า Smart TV เพราะไม่ใช่ทำได้แค่สั่งเปิดหนังเท่านั้นนะ แต่หากว่าเรามีอุปกรณ์ Smart Home อยู่ในบ้าน ก็สามารถสั่งงานผ่านทีวีได้ด้วยอย่างเช่น สั่งเปิด-ปิดไฟ, สั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงาน, สั่งให้เปิดพัดลม ฯลฯ
Android TV กับ Google TV บางรุ่นจะสามารถสั่งเปิด-ปิดเครื่องจากมือถือด้วยการสั่งงานผ่าน ผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ได้ด้วยนะ
ใช้งาน Chromecast ได้
อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า Chromecast คืออะไร...ซึ่ง Android TV กับ Google TV ทุกรุ่นสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ตั้งแต่แรกเลย ทำให้เวลาจะดู YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar และอื่น ๆ บนทีวี ทำได้แบบง่ายสุด ๆ เพราะกดเล่นหนังหรือค้นหาหนังจากแอปบนมือถือ แล้วสั่งให้ไปเล่นบนทีวีได้ทันที
ซึ่งพอหนังไปเล่นบนหน้าจอทีวีแล้ว เราก็เอามือถือไปใช้มือถือต่อได้ ไม่เหมือนฟีเจอร์ Mirroring ของ Smart TV ที่ใช้การยิงภาพหน้าจอมือถือขึ้นไปบนทีวี ทำให้เวลาจะดูอะไรก็ต้องเปิดมือถือวางไว้เฉย ๆ เพราะถ้าออกจากแอปหนังไปทำอย่างอื่น จอทีวีก็จะออกมาด้วยนั่นเอง
ข้อดี และข้อด้อยของ Android TV / Google TV
ข้อดี
- มีแอปให้เลือกใช้เยอะ
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ใช้งานได้หลากหลายกว่า
- แอป และระบบปฏิบัติการได้รับอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ และไวกว่า
ข้อด้อย
- UI ยุ่งยากกว่า Smart TV นิดหน่อย
- ก่อนใช้งานต้องตั้งค่าเยอะ
- ถ้าทีวีสเปคต่ำ จะทำงานช้า และหน่วงจนน่าหงุดหงิด ต้องปิดเครื่อง-เปิดใหม่ หรือดึงปลั๊กออก
Android TV / Google TV เหมาะกับใคร
Android TV กับ Google TV จริง ๆ แล้วมีความสามารถทุกอย่างที่ Smart TV ทำได้ แต่ด้วยความที่มันทำอะไรได้เยอะแยะนี่แหละ ทำให้มันเหมาะกับคนที่เคยใช้มือถือ Android มาบ้าง เพราะตั้งแต่การตั้งค่าเครื่อง และการใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเกือบ ๆ เหมือนกับการใช้มือถือนี่แหละ
แต่หากว่าใครที่ใช้ Smart TV อยู่ แล้วอยากใช้ฟีเจอร์ที่มีเฉพาะใน Android TV เท่านั้น ก็สามารถไปหาซื้อพวก Android TV Box มาเสียบเอาได้เหมือนกันนะครับ (ราคาไม่แรงมาก มีตั้งแต่ราคาหลักพันกว่าบาทขึ้นไป)
โดย Xyanyde
เรื่องเทคโนโลยี หรืออะไรที่มันล้ำ ๆ ขอให้บอกเท้อออ
บทความ ที่คุณอาจจะสนใจ