Psychopaths (ไซโคพาธ) โรคบุคลิกภาพผิดปกติ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นใจ ขาดสำนึกโดยสิ้นเชิง

 
“ บุคคลที่มีบุคลิกไซโคพาธ มักจะมองว่าผู้อื่นเป็นวัตถุที่เขาสามารถใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองได้

พวกเขาอาจแสร้งทำเป็นสนใจคุณ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจไม่สนใจ

พวกเขาเป็นนักแสดงที่มีทักษะ ซึ่งมีภารกิจเพียงอย่างเดียวคือ จัดการกับผู้คนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ” 

อารอน คิปนิส, PhD, ผู้เขียน The Midas Complex

 

---

 

โรคไซโคพาธคืออะไร ?

 

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุความหมายของคำว่า “ไซโคพาธ (Psychopaths)” เอาไว้ว่า ไซโคพาธเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ แบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder)  โดยคนไข้กลุ่มนี้จะมีลักษณะขาดความเห็นใจผู้อื่น, ขาดความสำนึกผิด, ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว, ขาดความยับยั้งชั่งใจ และเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ตามประวัติศาสตร์ทางการแพทย์พบว่า มีการใช้คำว่า Psychopaths มาตั้งแต่ช่วงปี 1933 แล้ว  

 

แต่จริงๆ โรคไซโคพาธ มีประวัติที่ยาวนานกว่านั้นมาก พบเห็นกันได้จากเรื่องเล่า ตำนาน หรือแม้แต่ในวรรณกรรมต่างๆ อย่างเช่น One Thousand and One Nights หรือแม้แต่ Titus Andronicus ซึ่งเป็นของวิลเลียม เชกสเปียร์ ผู้โด่งดัง โดยเนื้อเรื่องจะ มีตัวละครที่มีอาการของโรคไซโคพาธอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้ว่าหนังสือทั้ง 2 เล่มจะเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า โรคไซโคพาธ แทรกซึมอยู่กับโลกเรามานานแล้ว 

 

 

---

 

อาการของโรคไซโคพาธเป็นอย่างไร

 และมีสาเหตุมาจากอะไร  ?

 

จากงานวิจัยพบว่า โรคไซโคพาธ มีโอกาสพบได้เป็น 2 เท่าของโรคจิตเภทอื่นๆ อย่าง ไบโพลาร์ แพนิค หรือหลงตัวเอง ตามรายงานของ Verywell Mind ได้บอกเอาไว้ว่า   

 

“ ผู้ที่มีภาวะไซโคพาธ ไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมทางจิตอย่างผู้ป่วยจิตเวช

แต่อาจเป็นบุคคลทั่วๆ ไปที่มีลักษณะทางจิตบางอย่างที่ซ่อนลึกในจิตใจ ”

 

แล้วถ้าโรคไซโคพาธ สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วไปแบบนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นโรคไซโคพาธ ถ้าไม่ใช่แพทย์จะสามารถสังเกตได้หรือไม่ ทางด้านคุณหมอตังค์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่มีความหลงใหลเกี่ยวกับคดีปริศนา เจ้าของช่อง Youtube : Tang Makkaporn ได้พูดถึงพฤติกรรมของโรคไซโคพาธเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

 

 

  🎭 พฤติกรรมของโรคไซโคพาธ 

โดยส่วนมากคนไข้โรคไซโคพาธจะมีพฤติกรรม 3 อย่างที่สำคัญ คือ 

 

• ขาดความรู้สำนึก หรือ รู้สึกผิด  ( Lack of remorse and guilt )

คนไข้โรคไซโคพาธจะไม่ค่อยรู้สึกผิดกับการกระทำผิดๆ ของตัวเอง แถมในบางกรณีเขากลับมองว่า สมควรแล้ว อย่างเช่น ฆาตกรที่ฆ่าคนบางราย เมื่อโดนจับเขาไม่ได้รู้สึกผิดที่เขาได้จบชีวิตของเหยื่อ แต่เขากลับให้การต่อตำรวจหรือศาลว่า เหยื่อสมควรตาย อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์  หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะเห็นชัด  อย่างเหตุการณ์ที่เดินไปเจอคนกำลังจมน้ำ ถึงแม้เขาจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่เรากลับเมินเฉย ไม่ให้ความช่วยเหลือ ไม่หาคนมาช่วย ปล่อยให้เขาจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา  

 

• ไม่แสดงอารมณ์ ( Lack of emotion )

คนไข้โรคไซโคพาธจะไม่แสดงอารมณ์ หรือยินดี ยินร้ายกับเรื่องใดๆ ที่ควรจะรู้สึก เช่น เหตุการณ์ที่คนในครอบครัว หรือญาติเสียชีวิต โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะรู้สึกเศร้า อาจจะถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟาย แต่คนที่เป็นไซโคพาธนั้นกลับนิ่งเฉย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเสียใจ

 

• ขาดความรู้สึกเข้าใจผู้อื่น ( Lack of empathy )

สำหรับข้อนี้ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดๆ เช่น มีเพื่อนมาปรึกษา หรือมาเล่าปัญหาชีวิตให้ฟัง โดยปกติทั่วไปเรามักจะเกิดความเห็นใจ เข้าใจ เผลอๆ ในบางคน อาจจะถึงขั้นมีอารมณ์ร่วม นั่งร้องไห้ด้วยกันไปเลย แต่ในคนไข้โรคไซโคพาธ นอกจากจะไม่มีอารมณ์ร่วม ไม่แสดงความเห็นใจแล้ว พวกเขาอาจจะไม่เข้าใจด้วยว่า ทำไมเพื่อนต้องเสียใจ หรือต้องทุกข์ใจขนาดนั้น 

 

นอกจากพฤติกรรมหลักๆ 3 อย่างนี้แล้ว คนไข้โรคไซโคพาธก็ยังมีอาการยิบย่อยอื่นๆ เช่น  เห็นแก่ตัว ยึดตัวเองเป็นที่ 1 ของจักรวาล /  โกหก อาจจะเพื่อประโยชน์ของตัวเอง /  ไม่มีความผูกพันกับใคร หรือกับอะไรทั้งนั้น รักแค่ตัวเองเท่านั้น /  ชอบบงการ ชอบวางแผน บางคนก็พูดเก่ง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

 

---

 

สาเหตุ และ ปัจจัยของการเป็นโรคไซโคพาธ

 

คุณหมอตังค์ได้ให้ปัจจัยสำคัญหลักๆ ของการที่คนๆ หนึ่ง จะเป็นโรคไซโคพาธเอาไว้ 4 ข้อ ดังนี้  

 

  🎭  ปัจจัยทางสมอง

 

ถึงแม้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขจะระบุว่า ไซโคพาธเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติ แต่ก็มีปัจจัยมาจากด้านสมองด้วยนะ โดยความเสียหายของสมองอาจจะมีมาตั้งแต่แรกเกิด หรือผลจากการโดนกระทบกระเทือนได้ ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากสมอง 2 ส่วน คือ 

 

• Amygdala

สมองส่วนนี้จะเป็นส่วนของ การจำและนำเรื่องราวมาตอบสนองต่ออารมณ์  เช่น เราเห็นเหตุการณ์รถชน โดยปกติสมองก็จะจำและส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกคือ กลัว หรือหวาดเสียวกับเหตุการณ์ตรงหน้า  นั่นแปลว่า ถ้าสมองส่วน Amygdala เสียหายไป ก็จะส่งผลทำให้คนๆ นั้นไม่มีความกลัว ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ แบบกลุ่มคนปกติ 

 

• Prefrontal Cortex 

สมองส่วนนี้จะดูแลเรื่องการประมวลผล เหตุผล ศีลธรรม และจริยธรรม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าสมองส่วนนี้เสียหายไป ก็จะส่งผลต่อความเป็นเหตุเป็นผล ศีลธรรม จริยธรรม ที่จะเสียหายตามไปด้วย

 

 

  🎭  สิ่งแวดล้อม

ตรงนี้จะเป็นผลมาจากครอบครัวเป็นอันดับแรก เพราะใกล้ชิดกันตั้งแต่เกิด ซึ่งส่วนมากก็จะพบในครอบครัวที่มีปัญหา ใช้ความรุนแรง แม้แต่ในครอบครัวที่พ่อแม่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย และยังรวมไปถึงพ่อแม่ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย  พูดง่ายๆ คือ การเลี้ยงดูที่ไม่ดีพอ  รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เป็นพิษ ก็มีผลให้เด็กมีอาการไซโคพาธได้ในอนาคต 

 

  🎭  พันธุกรรม 

สำหรับพ่อแม่ที่ป่วยเป็นซึมเศร้า หรือเป็นไซโคพาธนั้น มีโอกาสที่ DNA จะถูกถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครอบครัวนะ หรือในบางครอบครัวพบว่าลูกได้รับ DNA มาก็จริง แต่ถ้าถูกเลี้ยงดูแบบถูกต้อง ก็จะช่วยให้เด็กไม่มีอาการของไซโคพาธได้  

 

  🎭 ชีวภาพ 

 

การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน อย่าง Testosterone , 17 Estradiol , Estrone และยังรวมไปถึงสารสื่อประสาทบางตัวที่ลดลง เช่น Cortiso, Serotonin ความผิดปกติที่ขาดๆ เกินๆ เหล่านี้จะทำให้สมองไม่สามารถทำงานแบบปกติได้ ส่งผลทำให้บุคคลนั้นๆ เป็นไซโคพาธได้ 

 

ในส่วนของการวินิจฉัยโรคนั้น ถึงแม้ว่าจะมีแบบทดสอบโรคไซโคพาธออกมาให้เห็นกันบ้าง และถึงแม้จะเป็นแบบทดสอบที่ผ่านการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว ว่าสามารถใช้ทดสอบได้จริง แต่ก็ ควรจะถูกทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ! และสำหรับการรักษาโดยส่วนมาก แพทย์มักจะให้ทั้งยารักษาจิตเวช และวิธีการจิตบำบัด แต่ด้วยผู้ป่วยไซโคพาธมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนัก อีกทั้งพวกเขายังมีความซับซ้อนสูง การรักษาจึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เช่นกัน

 

---

 

ประเด็นยอดฮิต ฆาตกรทุกคนเป็นโรคไซโคพาธหรือไม่ ? 

 

" ปัจจุบันเราพบเจอคนเห็นแก่ตัว และเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางได้บ่อยในสังคม

แต่รู้หรือไม่ว่า ขั้นกว่าของอาการไซโคพาธ ที่มีความด้านชาทางอารมณ์

เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม และแพทย์มักวินิจฉัยพบในกลุ่ม ฆาตกรต่อเนื่อง "

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข

 

 

ไซโคพาธ = ฆาตกร ?

 

ฆาตกรเกือบทุกคนมักจะถูกเหมารวมว่า มีอาการโรคจิต ในหนังอาจจะดูเป็นอย่างนั้นนะ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย มีงานสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้บอกเอาไว้ว่า

 

จากการเก็บสถิติของนักโทษในเรือนจำพบว่า มีนักโทษที่เป็นโรคไซโคพาธจำนวน 20% เท่านั้น และยังมีงานวิจัยอีกว่า จะพบคนเป็นโรคไซโคพาธ 1 คน / 1,000 คน เท่านั้น !  เพราะฉะนั้น..

 

 

โรคไซโคพาธ ไม่เท่ากับ ฆาตกร

และ ไม่ใช่ ฆาตกรทุกคน ที่จะเป็นไซโคพาธ

 

 

แต่ถ้าถามว่ามีฆาตกรคนไหนบ้างที่เป็นโรคไซโคพาธ ก็จะมีฆาตกรต่อเนื่องที่ดังๆ อย่าง 

 

•   Ted Bundy ฆาตกรต่อเนื่องคนดังของอเมริกา
•  Jeffrey Lionel Dahmer มนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี 

 

 

 

ถ้าเราได้ติดตามเรื่องราวของพวกเขา เราจะได้เห็นอาการไซโคพาธจากพวกเขาอย่างชัดเจน ตั้งแต่คำให้การ ความคิดความอ่าน และลักษณะท่าทางการแสดงออก

 📌 ใครที่สนใจสามารถรับชมเรื่องราวของพวกเขาทั้ง 2 คนได้ทาง Netflix  

 

 

และยังมีซีรีส์เกาหลีอีก 1 เรื่องที่น่าสนใจมากๆ คือ Mouse ซึ่งเรื่องนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การตามล่าฆาตกรที่มียีนส์ไซโคพาธตั้งแต่เกิด  นำแสดงโดย อีซึงกิ และด้วยเรื่องนี้มีพูดถึงประเด็นทางด้านพันธุกรรมของไซโคพาธเอาไว้ด้วย นั่นเลยทำให้เนื้อหาน่าติดตามเข้าไปใหญ่  แถมผู้ชมหลายเสียงก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่าสนุก และลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ในทุกตอนเลยทีเดียว

 

 

 📌 สามารถรับชมได้ทาง Viu , iQIYI และ WeTV 

 

 

---

 

จากสาเหตุและปัจจัยข้างต้นนั้น เราจะเห็นว่า ไซโคพาธเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติโดยแท้จริง เราเลยสามารถพูดได้ว่า บุคคลที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างจะน่าเห็นใจ ด้วยความผิดปกติของสมอง หรือแม้แต่พันธุกรรม ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นคนไข้โรคไซโคพาธ และอาการแย่ๆ ที่แสดงออกมา มันส่งผลทำให้พวกเขาเผลอทำเรื่องผิดๆ ลงไปได้

 

แต่ข้อมูลจากทางแพทย์ก็ระบุเอาไว้เช่นกันว่า คนไข้โรคไซโคพาธ สามารถรักษาจนหาย และสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ และการป้องกันไม่ให้เป็นโรคไซโคพาธ ก็สามารถทำได้ด้วยการ เลี้ยงดูที่ถูกต้อง รวมไปถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับพวกเขาตั้งแต่ในวัยเด็กนั่นเอง

🎭

 

---

 

 💙  อ่านบทความที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ที่นี่

• FOMO โรคกลัวตกกระแส ภัยอันตรายสำหรับคนชอบเผือก
• เศร้าไม่ไหว ! "Blue Monday" หนึ่งปีมีครั้ง กับวันที่ "เศร้าที่สุด" ของปี
• "ต่อต้าน ไม่เอาใคร" Goth (กอธ) Subculture ที่ถูกมองว่าเป็นขบถตัวร้ายของสังคม

 

---

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : Tang Makkaporn / dmh.go.th ncbi.nlm.nih.gov