Gucci ตำนานจากอิตาลี กว่า 99 ปี บนเส้นทางสายแฟชั่น
โดย : imnat
Gucci จากแบรนด์ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทาง
สู่แบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาลีที่มีมูลค่ามากที่สุด!
ยืนหนึ่งขนาดนี้ บอกเลย 99 ปีที่ผ่านมา พี่ไม่ได้มาเล่นๆ
เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์แฟชั่นระดับตำนานสัญชาติอิตาลี ถ้าไม่พูดถึง Gucci (กุชชี่) คงจะไม่ได้ กับประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 99 ปี บนเส้นทางสายแฟชั่น ที่ Gucci ได้พิสูจน์ให้พวกเราทุกคนเห็นกันแล้วว่า ‘เอกลักษณ์’ เท่านั้นถึงอยู่รอด!
Gucci ได้ลงสนามทดสอบตัวเองมาแล้วมากมาย จนทำให้จากแบรนด์ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นชนชั้นระดับสูง กลายมาเป็นแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาลีที่มีอายุมากที่สุด แถมยังมีมูลค่าสูงที่สุด และที่สำคัญเลยก็คือ Gucci จะไม่หยุดอยู่ที่ตรงนี้ เพราะนี่มันเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!
เปิดตัวมาแล้ว 99 ปี กับแต่ละก้าวที่ 'ไม่ธรรมดา'
ยุคก่อตั้ง
Guccio Gucci ได้เปิดตัวแบรนด์สินค้าสำหรับการเดินทางสุดหรูอย่าง Gucci ในปี ค.ศ. 1921 ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่งานฝีมือที่มีคุณภาพยากจะหาคนเลียนแบบ โดยสินค้าที่วางจำหน่ายในช่วงแรกนั้นได้แก่ ‘กระเป๋าเดินทาง’
หลังจากนั้นไม่นานลูกชายทั้ง 3 คนของ Guccio (Aldo, Vasco และ Rodolfo Gucci) ได้เข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วย และ ‘หนัง’ ได้กลายเป็นวัสดุที่หายากขึ้นมาเนื่องจากช่วงนั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ครอบครัว Gucci เลยได้ทำการหาวัสดุชนิดใหม่ซึ่งนั่นก็ได้แก่ “ผ้าใยกัญชง” ที่มาพร้อมลายพิมพ์ GG อันเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดสินค้า Iconic ของแบรนด์อย่าง Bamboo Bag อีกด้วย
ยุคทอง
หลังจากเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น บรรดาลูกชายของ Guccio ก็ได้เปิดร้าน Gucci สาขาที่ 2 และ 3 ใน Rome และ Milan ขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยสาขาที่ 4 ในนิวยอร์ก ซึ่งสาขานี้ก็ได้ทำให้เกิดเป็นยุคทองของ Gucci เป็นครั้งแรก แถมยังได้รับความนิยมในหมู่นักแสดงระดับตำนาน อาทิ Elizabeth Taylor, Peter Sellers รวมไปถึงบรรดาคนดังอีกมากมายที่ต่างเป็นแฟนตัวยงของ Gucci แต่น่าเสียดาย เพราะหลังจากสาขาใหม่ในนิวยอร์กได้เพียงแค่ 15 วัน Guccio Gucci ก็ได้เสียชีวิตลง
"และนี่เลยได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Logo Gucci
ที่นอกจากจะเป็นเครื่องหมายการค้าชั้นดีแล้ว ยังเป็นตัวแทนของ Guccio Gucci อีกด้วย"
ยุคฟื้นฟู
ทางแบรนด์มีการสะดุดอยู่พักนึง หลังจากการจากไปของ Guccio Gucci ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายใน* รวมถึงภายนอกครอบครัวเองก็ตาม แต่ยังไงทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งในปี ค.ศ. 1989 Gucci ได้ทำการเซอร์ไพรส์วงการด้วยการมีตำแหน่ง Creative Director ของแบรนด์ขึ้นมาครั้งแรก อีกทั้งยังได้ทีมงานหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Tom Ford ที่ดำรงตำแหน่งดีไซเนอร์เสื้อผ้าสำเร็จรูปของสุภาพสตรี แถมยังได้ทำให้ยอดขายของ Gucci เพิ่มขึ้นสูงมากอีกด้วย
*แว่วๆ มาว่ามีการเตรียมสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวในครอบครัว Gucci ที่ได้ Lady Gaga แสดงนำด้วยนะ แต่ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา แต่ถ้าเคาะตามนี้จริงๆ ก็คือจะปังมากแม่ เพราะได้ข่าวมาว่าภาพยนตร์นั้นจะเป็นแนวสยองขวัญด้วยนะ!
Tom Ford ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Gucci เป็นอย่างมาก
กับภาพลักษณ์หวือหวา ที่มีนัยยะเกี่ยวกับเรื่องเพศ
เป็นเพราะเค้าคนนี้คนเดียวจริงๆ ที่ทำให้ Gucci เป็นที่พูดถึงกันเยอะมากในตอนนั้น อาจจะเป็นเพราะความกล้าที่จะเล่นกับนัยยะในเรื่องเพศ อย่างภาพโฆษณาต่างๆ ที่ทำออกมาค่อนไปในทางหวือหวา (ถึงขนาดมีภาพโฆษณาที่เห็นขนบริเวณอวัยวะเพศของนางแบบเป็นตัว G เลยก็มีนะ) ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Tom Ford จริงๆ เพราะถึงแม้ว่าเค้าจะออกจาก Gucci ในหลายปีต่อมา แต่เค้าก็ยังมีการหยิบเอาเอกลักษณ์ของความหวือหวานี้ไปสานต่อกับแบรนด์ตัวเองด้วยเช่นกัน
ยุครีแบรนด์
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แฟชั่นของ Tom Ford จะเป็นที่พูดถึงกันมากมาย ทว่า Frida Giannini หนึ่งในทีมงานที่อยู่กับ Gucci มานาน กลับดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะถูกใจภาพลักษณ์ของ Gucci ในตอนนั้นสักเท่าไหร่ และหลังจาก Tom Ford บอกลา Gucci ไปในปี 2004 Frida Giannini ที่ในขณะนั้นกำลังดำรงตำแหน่ง Director of Handbags ก็ได้รับการโปรโมทขึ้นมาเป็นผู้ดูแลคนสำคัญของ Gucci แทน ซึ่งผลงานเด่นๆ ของเธอเลยก็คือ การลบล้างภาพลักษณ์ที่ Tom Ford สร้างไว้ก่อนหน้านี้ให้หมดไป
Alessandro Michele
การกลับมาอีกครั้งของยุคทอง
หลังจากเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ Frida ก็ถึงเวลาที่ Alessandro Michele จะได้ปล่อยของ! ซึ่งผลงานของ Alessandro Michele นั้นจะมีเอกลักษณ์ในเรื่องของสีสันและลูกเล่นที่ต่างจากเดิม ส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นที่ยอมรับและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
และเรียกได้ว่าเป็นผลพลอยได้ล้วนๆ เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่ Gucci ได้วางไว้ก่อนหน้านี้ ส่งผลทำให้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหน ทุกคนก็ต่างให้ความสนใจไปที่ Gucci ซึ่งนี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้จากชื่อแบรนด์ธรรมดาๆ สามารถกลายมาเป็นคำแสลงฮิตติดปากได้ในข้ามคืน!
UrboyTJ ศิลปิน Hip Hop ชาวไทย ก็เป็นแฟนตัวยงของ Gucci นะ!
ทุกคนรู้กันไหมว่า Gucci ไม่ได้เป็นแค่ชื่อแบรนด์แฟชั่นสุดหรูเพียงอย่างเดียว แต่ความแรงของ Gucci ได้ส่งผลทำให้คำๆ นี้กลายเป็นคำศัพท์สแลง (Slang) ยอดฮิตติดปากในวงการ Hip Hop กันอีกด้วย โดยคำว่า Gucci นี้ถูกให้ความหมายว่า เจ๋ง, สุดยอด, เริ่ด ซึ่งศิลปินที่มีชื่อเสียงในวงการ Hip Hop หลายคนนอกจากจะคลั่งสินค้าแบรนด์ Gucci กันแล้ว ยังได้มีการหยิบเอาคำๆ นี้มาใส่ลงในเนื้อเพลงด้วย อาทิ Kanye West, Lil Pump, Diamond MQT (เจ้าของเพลง Gucci Belt ที่เราคุ้นหูกัน) รวมไปถึงสาว Cardi B เองก็ด้วยเช่นกัน
"ท่ามกลางการเติบโตของวงการแฟชั่น เอกลักษณ์เท่านั้นที่ยืนหนึ่ง!"
หลังจากการมาของ Alessandro Michele ได้ส่งผลทำให้ Gucci กลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ประจำปี 2017 อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 2017 จนถึงตอนนี้ Gucci ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 10,747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอันดับ 4 ของแบรนด์แฟชั่น-เครื่องแต่งกายที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกครึ่งปีแรกของปี 2020 รองลงมาจาก Louis Vuitton, Nike และ Hermes และถือว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาลีที่เก่าแก่และมีมูลค่าสูงที่สุดในตอนนี้อีกด้วย
ซึ่งเคล็ดลับความสำเร็จนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับแบรนด์ ผ่านการสร้างสรรค์ของ Alessandro Michele ที่ได้พลิกโฉมความเป็น Gucci ให้น่าสนใจขึ้นมา
"I'm changing everything, It's not a work, It's my life."
- Alessandro Michele -
เปรียบเทียบภาพลักษณ์ที่แตกต่างของ Gucci ในสมัย Tom Ford (ซ้าย) กับ Alessandro (ขวา) เรียกได้ว่ามีกลิ่นอายกันคนละแบบเลย!
Epilogue สีสันและความสนุกครั้งล่าสุดของ Gucci
Gucci Epilogue แฟชั่นโชว์ชุดล่าสุดของ Gucci ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ถือว่าเป็นแฟชั่นโชว์รูปแบบออนไลน์ครั้งแรกของ Gucci ที่ไม่ได้มีความพิเศษเพียงเท่านี้ แต่ Gucci ยังได้ประกาศ Friend of Gucci คนล่าสุดของแบรนด์อีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสาวไทยอย่าง ใหม่ ดาวิกา นั่นเองจ้า ปรบมือ~
ใหม่ ดาวิกา ได้ผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับเสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่อย่าง Gucci Epilogue นี้ได้เป็นอย่างดี อย่างที่เราเห็นกันในภาพด้านล่างนี้ อะไรคือการที่จู่ๆ ภาพลายสักยันต์จะดูไฮแฟชั่นขึ้นมา คือถ้าไม่ได้ Gucci + ใหม่ ดาวิกา นะ อย่าได้หวังเลยยย
Epilogue ถือเป็นผลงานที่น่าจับตาของ Alessandro Michele กับคอนเซ็ปต์ที่ต้องการเฉลิมฉลองฉากสุดท้ายของวงการแฟชั่นกับสิ่งที่อยู่ เบื้องหลังม่าน ซึ่งใครจะไปรู้ว่าเหล่านายแบบ-นางแบบที่เราเห็นกันในคอลเลกชันนี้ คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังผลงานทั้งหมดของ Gucci เพราะพวกเค้าเหล่านี้คือ "ดีไซเนอร์' ของแบรนด์นั่นเอง
Alessandro Michele ได้พิสูจน์ให้คนทั่วโลกได้เห็นกันแล้วว่า เค้าได้ให้ความสำคัญกับแบรนด์ Gucci เป็นอย่างมาก จากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ Gucci ได้เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ปันโปรคิดว่าถ้าต้องยกเครดิตให้ใครสักอย่าง ก็คงหนีไม่พ้นความ 'กล้าที่จะเสี่ยง' ของทุกคน ไม่ว่าจะเป็น Guccio, ลูกชายทั้ง 3 คน, Tom Ford, Frida Giannini รวมไปถึง Alessandro Michele ที่ทำให้แบรนด์ Gucci มีเอกลักษณ์แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างที่ Alessandro เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
"มันไม่ใช่การ 'เกือบจะถึง' แต่นี่เป็นการแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นว่า
การใส่เมล็ดพันธุ์ลงไปกับอะไรสักอย่างนึง มันจะส่งผลกับชีวิตเราในบทต่อไป
ซึ่งนี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น"
ซึ่งหลังจากนี้เราก็ต้องมาจับตามองกันต่อไปว่าเส้นทางสายแฟชั่นของ Gucci จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เรากันอีก ได้ข่าวมาว่าล่าสุดทางแบรนด์ได้มีการดึงตัวดีไซเนอร์ฝีมือดีอย่าง Alexander McQueen เข้ามาร่วมงานด้วยนะ ไม่รู้ว่าในอนาคตภาพลักษณ์ของ Gucci จะเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน แต่แค่คิดปันโปรก็ตื่นเต้นตามแล้ว อย่างที่ Alessandro Michele ได้กล่าวเอาไว้ว่า นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น...
โดย imnat
เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)