รถ Eco Car ขนาดกะทัดรัด ราคาประหยัดสุดคุ้ม ขับไปไหนก็สะดวก
โดย : MilD
รถอีโค่คาร์ ขับได้ง่ายมาก มีให้เลือกหลายรุ่น
ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ขนาดกะทัดรัด จะขับไปไหนก็สะดวก
ราคาสบายกระเป๋า มีเงินครึ่งล้าน ก็เป็นเจ้าของได้แล้ววว !!
Highlight ของรถยนต์กลุ่ม Eco Car ในประเทศไทย
• ตลาดรถอีโค่คาร์ในประเทศไทย ถือว่ามีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะถือเป็นรถที่มีราคาไม่แพงมาก สำหรับคนที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก เน้นความประหยัดพลังงาน แถมยังดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
• ค่าตัวของรถยนต์กลุ่มอีโค่คาร์อยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท บวกลบนิดหน่อย เตรียมเงินกันให้พอด้วยนะจ๊ะ ถึงจะไม่พอก็สามารถผ่อนดาวน์ได้ ทยอยจ่ายไปเรื่อยๆ ไม่นานเดี๋ยวก็หมด
• รถรุ่นใหม่คือดีไซน์สวย โฉบเฉี่ยว ไม่แพ้รถรุ่นราคาแพงๆ เลยแหละ ครบทั้งความบันเทิง เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงความปลอดภัยแบบครบครันมากเว่อร์
ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยปีนี้ เจอปัญหาหนักเอาเรื่อง
หลายอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยด้วยเช่นกัน ยอดขายต้ั้งแต่ต้นปี 63 เริ่มมีภาวะหดตัวลง ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. ซึ่งเริ่มมีการระบาดในวงกว้างมากขึ้น งานจัดแสดงรถยนต์ก็ต้องถูกยกเลิกไป ยิ่งทำให้ยอดขายรถยนต์ปกติช่วงเดือน มี.ค. จะพุ่งขึ้นก็กลับตรงกันข้าม หลายคนก็พยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อสำรองเงินเอาไว้เมื่อจำเป็น รักษาสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้การตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่สักคันนึงในช่วงนี้อาจจะต้องชะลอไปก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม "รถยนต์" ก็ยังถือเป็นสิ่งจำเป็นของทุกคนอยู่ดี เพราะเป็นพาหนะอันแสนสะดวกสบายในการเดินทาง เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน ระบบขนส่งสาธาณะก็มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม ยิ่งน้ำมันราคาถูกแบบนี้ก็เป็นแรงจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าเดิม ถ้าหากงบประมาณมีจำกัด ลองมองรถกลุ่มอีโค่คาร์ (Eco Car) ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะนอกจากราคาถูกแล้ว ยังประหยัดน้ำมัน และดีกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เน้นใช้เดินทางในเขตเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องเครื่องยนต์แรงอะไรมากมาย ช่วงนี้ประหยัดเงินนี่แหละสำคัญแล้ว
ต้องมีคุณสมบัติยังไง ถึงจะเรียกว่า "Eco Car"
รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือเรียกสั้นๆ ว่า Eco Car เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2550 เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในขณะนั้นให้กลับมาเติบโตอีกครั้งนึง ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นฐานของการผลิต ส่งออกรถไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก พร้อมกับตอบโจทย์ในเรื่องของราคา ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรถที่เข้าเกณฑ์กลุ่ม Eco Car ได้ จะต้องมีคุณสมบัติทั้งหมดตามนี้เลย เรียกว่าเป็น Eco Car เฟส 1
• ความจุเครื่องยนต์ : เบนซิน ไม่เกิน 1.3 ลิตร หรือดีเซล ไม่เกิน 1.4 ลิตร
• ด้านการประหยัดพลังงาน : ต้องไม่น้อยกว่า 5 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตร/ลิตร
• ด้านสิ่งแวดล้อม : ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ EURO 4
• ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : ที่ปล่อยออกมา ต้องไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ถูกใช้มาเรื่อยๆ จนถึงปี 2558 ก็ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ เรียกว่า Eco Car เฟส 2 โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และรถทุกรุ่นจะต้องเริ่มใช้เกณฑ์ใหม่ภายปี 62 ซึ่งรถ Eco Car จะต้องเข้าเกณฑ์ตามนี้เลยจ้า
• ความจุเครื่องยนต์ : เบนซิน ไม่เกิน 1.3 ลิตร หรือดีเซล ไม่เกิน 1.5 ลิตร
• ด้านการประหยัดพลังงาน : ต้องไม่น้อยกว่า 4.3 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 23.26 กิโลเมตร/ลิตร
• ด้านสิ่งแวดล้อม : ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ EURO 5
• ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา ต้องไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร
• เพิ่มเติมเรื่องความปลอดภัย รถทุกคันต้องมีระบบห้ามล้อแบบป้องกันการล็อค (ABS) และระบบควบคุมการทรงตัว (ESC)
จากหลักเกณฑ์ใหม่นี้ ทำให้มีรถยนต์หลายยี่ห้อ หลายรุ่น สามารถจัดให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มรถ Eco Car ได้เยอะกว่าเดิม บางรุ่นอาจจะเคยอยู่ B-Segment มาก่อน ทำให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคและผู้ใช้รถมากขึ้น เพราะรถกลุ่ม Eco Car จะได้รับประโยชน์ภาษีมากกว่าเดิม เหลือเพียง 12% ก็ทำให้ราคาขายปลีกปรับลดลงได้
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก วารสารส่งเสริมการลงทุน ฉบับที่ 3 มีนาคม 2558)
คราวนี้เราลองมาดูกันว่าในประเทศไทย ตอนนี้มีรถยนต์ Eco Car รุ่นไหนที่น่าสนใจกันบ้าง บอกเลยว่าตัวเลือกเยอะมากจริงๆ นะ หลักๆ แล้วจะมีความแตกต่างกันที่ดีไซน์และการออกแบบ แต่ทุกคันประหยัดน้ำมันเหมือนกันหมด ราคาก็ใกล้เคียงกันด้วย
Nissan Almera
ถือว่าเป็นโฉมใหม่ของ Nissan Almera เพิ่มความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ไฟหน้ารถแบบ LED ภายในตกแต่งแบบสปอร์ตหรูหรา สามารถเก็บสัมภาระได้อย่างกว้างขวาง มาพร้อมกับเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility เพราะความปลอดภัยต้องมาก่อน
สรุปสเปคเด่นของ Nissan Almera
• เครื่องยนต์ HRA0 1.0 ลิตร Turbo พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ออกตัวแรงได้ตามใจต้องการ รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20
• ระบบเกียร์ Xtronic CVT with D-Step Logic เพิ่มอัตราเร่งและประหยัดน้ำมันมากขึ้น
• กล้องรอบคันอัจฉริยะ ตรวจจับและส่งเสียงเตือนให้รู้ทันที หลังจากพบวัตถุหรือบุคคลที่มีการเคลื่อนไหว
• Nissan Intelligent Mobility มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ปลอดภัยกว่าเดิม เตือนจุดอับสายตา, เตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ, เบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ และตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย
• อัตราการใช้น้ำมัน = 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่น
• 1.0 L Turbo S CVT เริ่มต้น 499,000 บาท
• 1.0 L Turbo E CVT เริ่มต้น 509,000 บาท
• 1.0 L Turbo EL CVT เริ่มต้น 559,000 บาท
• 1.0 L Turbo V CVT เริ่มต้น 599,000 บาท
• 1.0 L Turbo VL CVT เริ่มต้น 639,000 บาท
เริ่มต้นไม่ถึง 5 แสนบาทจ้า อีกนิดเดียว ก็ช่วยให้หลายคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะ หรือถ้าใครอยากได้สเปคที่พิเศษกว่าเดิมก็ลองดูว่ารุ่นย่อยไหนที่ถูกใจที่สุด ช่วงราคาจะต่างกันประมาณ 4-5 หมื่นจ้า
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/2W3JIcv
Suzuki Swift
แค่เห็นภายนอกก็สัมผัสได้ถึงความเร้าใจ โฉบเฉี่ยวโดนใจแล้ว ให้ความรู้สึกสปอร์ตทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และบรรยากาศภายใน มาพร้อมกับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ 1.2 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี DUALJET เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ทำงานได้สมบูรณ์ แถมยังประหยัดน้ำมันมากกว่า 23 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐานที่กำหนด
สรุปสเปคเด่นของ Suzuki Swift
• เครื่องยนต์ K12M 1.2 L ขับเคลื่อน 2 ล้อ และเทคโนโลยี DUALJET หัวฉีดแบบคู่ ทำงานได้ดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20
• ล้ออะลูมิเนียมอัลลอย ขนาด 16 นิ้ว ได้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตมากๆ
• กระจังหน้ารถดีไซน์แบบสปอร์ต ลักษณะคล้ายกับรวงผึ้ง
• ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อม Daytime Running Light ส่วนไฟท้ายก็เป็นแบบ LED เช่นกัน
• Suzuki Smart Connect หน้าจอแสดงผล 7 นิ้ว พร้อมรองรับ Apple CarPlay
• ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แสดงผลผ่านจอ LCD
• สตาร์ทรถด้วยปุ่ม Engine Switch
• ถุงลมนิรภัย SRS 6 ตำแหน่งทั้งคู่หน้า ด้านข้าง และม่านด้านข้าง ทำให้ทุกการขับขี่รู้สึกปลอดภัยแน่นอน
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่น
• GA CVT ราคา 499,000 บาท
• GL CVT ราคา 536,000 บาท
• GL Sports Edition ราคา 541,000 บาท
• GLX CVT ราคา 609,000 บาท
• GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท
จับราคาเริ่มต้นไม่ถึง 5 แสนบาทอีกเช่นเดียวกัน ถ้าหากใครมีงบ 5 แสนบาท คือต้องคิดหนักแน่นอน รุ่นท็อปราคา 6.29 แสนบาท ก็ใกล้เคียงกับยี่ห้ออื่นๆ เลยแหละ
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/2SeAx82
Toyota Yaris Ativ
รถยนต์ดีไซน์สปอร์ตแบบพรีเมียม ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและการตกแต่งภายในรถ พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถขนาดใหญ่ มาพร้อมเครื่องยนต์รุ่นใหม่ Dual VVT-iE ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม และยังมีหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิทัลอัจฉริยะ แสดงผลได้อย่างหลากหลาย อยากรู้ข้อมูลอะไรของรถก็บอกได้หมดเลย ได้รับการันตีความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก ASEAN NCAP
สรุปสเปคเด่นของ Toyota Yaris Ativ
• เครื่องยนต์แบบ Dual VVT-iE 4 สูบ DOHC 1.2 L ระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อมระบบ Shift Lock
• ไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำ ตกแต่งด้วยวงแหวนสีแดง รองรับการเปิด-ปิดอัตโนมัติ และ LED Light Guiding
• ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน ขนาด 15 นิ้ว
• พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS พร้อมระบบปรับน้ำหนักอัตโนมัติอีกด้วย
• กระจังหน้ารถสีดำเงาตัดด้วยแถบสีแดงดีไซน์สปอร์ต ได้อารมณ์ความโฉบเฉี่ยวเป็นที่สุด
• ลำโพงภายในรถ 6 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะนั่งจุดไหนก็เสียงคมชัดหมดแน่นอน
• ถุงลมนิรภัยมากถึง 7 ตำแหน่ง ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ม่านด้านข้าง และเข่าคนขับ
• อัตราการใช้น้ำมัน = 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย
• รุ่น Entry ราคา 529,000 บาท
• รุ่น Mid ราคา 579,000 บาท
• รุ่น High ราคา 649,000 บาท
ราคานี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จะซื้อก็เพราะพรีเซ็นเตอร์นี่แหละ เหล่าโอตะจะอดใจไหวกันมั้ยนะ ไม่ได้สิ เราต้องเน้นที่ตัวรถเป็นหลัก รุ่นท็อปราคาประมาณ 6.5 แสนบาทก็ได้อยู่เน้อ
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/2KFUGzy
Mazda 2
เพิ่งเปิดตัวกันไม่นานนี้เอง สำหรับ Mazda 2 ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ Sedan (4 ประตู) และ Hatchback (5 ประตู) เหมือนเช่นเคย โดยแบ่งเป็นเบนซิน 5 รุ่นย่อย และดีเซลเทอร์โบอีก 2 รุ่นย่อย รพอวมแล้วก็คือมีทั้งหมด 14 รุ่นย่อยไปเลยแม่เจ้า โดยเครื่องยนต์เป็นแบบ Skyactiv 4 สูบ 1.3 L (เบนซิน) และ 1.5 L Turbo (ดีเซล) มาพร้อมกับ Skyactiv-Vehicle Dynamics ช่วยควบคุมการขับขี่แบบอัจฉริยะ ระบบประหยัดน้ำมันและประหยัดพลังงาน ระบบกันขโมยและ Central Lock พร้อมเทคโนโลยีล้ำๆ ตามสไตล์ที่คุ้นเคยกันดี
สรุปสเปคเด่นของ Mazda 2
• เครื่องยนต์ Skyactiv-G 1.3 แถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1.3 L รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 (รุ่นเบนซิน) และ Skyactiv-D 1.5 Turbo แถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1.5 L (รุ่นดีเซล) พร้อมเกียร์แบบ Skyactiv-Drive อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมระบบ Manual
• ไม่พลาดทุกการติดต่อด้วย Mazda Connect รองรับ Apple CarPlay หน้าจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว ควบคุมผ่านปุ่มอัจฉริยะได้อย่างง่ายดาย
• เทคโนโลยี Skyactiv-Vehicle Dynamics ช่วยเพิ่มความสบายในทุกการขับขี่ โดยมีระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง ตัวช่วยในการเข้าโค้งขณะขับรถ
• ระบบแสดงผลภาพรอบทิศทางแบบ 360 องศา
• หน้าจอแสดงผลบนกระจกหน้ารถ (Active Driving Display)
• อัตราการใช้น้ำมัน = 23.3 กิโลเมตร/ลิตร (รุ่นเบนซิน) และ 26.3 กิโลเมตร/ลิตร (รุ่นดีเซล)
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 7 รุ่นย่อย
• รุ่น 1.3 E / 1.3 E Sports ราคา 546,000 บาท
• รุ่น 1.3 C / 1.3 C Sports ราคา 602,000 บาท
• รุ่น 1.3 S / 1.3 S Sports ราคา 627,000 บาท
• รุ่น 1.3 S Leather / 1.3 S Sports Leather ราคา 648,000 บาท
• รุ่น 1.3 SP / 1.3 SP Sports ราคา 690,000 บาท
• รุ่น XD / XD Sports ราคา 782,000 บาท
• รุ่น XDL / XDL Sports ราคา 799,000 บาท
ราคาของ Mazda 2 ถือว่ามีช่วงราคากว้างพอสมควร เพราะรุ่นย่อยเค้าเยอะ แถมยังมีรุ่นดีเซลเทอร์โบ (XD และ XDL) ซึ่งโดดเด่นอย่างมากเรื่องอัตราประหยัดน้ำมัน และความแรงของเครื่องยนต์ ทำให้ราคาตัวท็อปของรุ่นนี้เกือบแตะ 8 แสนบาทเลยทีเดียว
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3cQNZ9Y
Mitsubishi Attrage
ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นโดยเฉพาะด้านหน้ารถ ให้ความรู้สึกสปอร์ตมาก มีความคล้ายกับรุ่น Xpander นิดนึง ส่วนบรรยากาศภายในของรถรุ่นนี้ มีพื้นที่กว้างขวางสไตล์สปอร์ตสีดำเข้ม เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1,200 CC ให้อัตราเร่งที่ดี ประหยัดน้ำมัน รักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบความปลอดภัยอีกมากมาย ทั้งแจ้งเตือนและช่วยชะลอความเร็วรถ หรือตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วคราวก็ได้ เรียกว่าฉลาดล้ำได้อีก
สรุปสเปคเด่นของ Mitsubishi Attrage
• เครื่องยนต์เบนซินแบบ DOHC MIVEC 1.2 L มี Roller Camshaft ช่วยลดแรงเสียดทาน พร้อมกับระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC แรงบิดดีกว่าเดิม และเกียร์แบบ CVT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20
• ความบันเทิงผ่านหน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay สามารถสั่งงานผ่านปุ่มบนพวงมาลัยได้เลย
• ไฟหน้า Projector พร้อมไฟส่องสว่างตอนกลางวัน ส่วนไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์สปอร์ต
• มีระบบป้องกันการโจรกรรม ระบบ Central Lock และสตาร์ทรถโดยใช้ปุ่ม One Touch
• ระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็มสุด เช่น เตือนการชนด้านหน้า ตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เสริมแรงเบรกให้มีประสิทธิภาพ ป้องกันการล้อหมุน ช่วยออกตัวในทางลาดชัน รวมถึงควบคุมการทรงตัวในภาวะเสียสมดุลอีกด้วย
• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ปกป้องหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
• ล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ให้ความสวยงามตามดีไซน์ของตัวรถ
• อัตราการใช้น้ำมัน = 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย
• GLX MT ราคาเริ่มต้น 494,000 บาท
• GLX CVT ราคาเริ่มต้น 529,000 บาท
• GLS CVT ราคาเริ่มต้น 579,000 บาท
• GLS LTD CVT ราคาเริ่มต้น 624,000 บาท
ราคากระแทกใจไม่เบาเลย เพราะ Mitsubishi Attrage เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 62 ที่ผ่านมา เลยทำให้มีเทคโนโลยีและดีไซน์ที่ดูทันสมัย สำหรับเจ้าคันนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3eT6JHT
Honda City
เคยอยู่ B-Segment มาก่อน แต่หลังเกณฑ์ในเฟส 2 ออกมาแล้ว ทำให้สามารถจัดอยู่ในกลุ่ม Eco Car ได้ด้วย สำหรับ Honda City ออกแบบภายนอกดูมีความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ยิ่งเป็นรุ่น RS บอกเลยว่าเริ่ดมาก ส่วนภายในก็ตกแต่งอย่างสวยงาม เน้นโทนสีดำ Piano Black ความบันเทิงต่างๆ มาแบบครบครัน และ Honda Connect ส่วนเครื่องยนต์เป็นแบบเบนซิน ขนาด 1.0 ลิตร VTEC Turbo ทำงานได้ดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรอีก เร่งเครื่องได้ดีกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม ความปลอดภัยต่างๆ จัดมาให้แบบเต็มที่ เพื่อการขับขี่ที่ลงตัวมากที่สุด
สรุปสเปคเด่นของ Honda City
• เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC Turbo พร้อม Turbocharger เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าเดิม แต่ยังประหยัดน้ำมัน มาพร้อมกับเกียร์แบบ CVT ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) แบบ 7 สปีดที่พวงมาลัยได้เลย
• ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED
• ความบันเทิงต่างๆ แสดงผลบนหน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Google Maps
• ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ดีไซน์แบบสปอร์ต
• ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ทั้งคู่หน้า ด้านข้างหน้า และม่านด้านข้าง ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ยังไงก็สบายใจได้
• ระบบความปลอดภัยจัดให้ไม่มีกั๊ก ทั้งตัวช่วยออกตัวในทางลาดชัน สัญญาณไฟฉุกเฉินหากเบรกกะทันหัน ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง และกล้องมองหลังปรับได้ถึง 3 ระดับ
• อัตราการใช้น้ำมัน = 23.8 กิโลเมตร/ลิตร
[คุณสมบัติจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ตรวจสอบจากโบรชัวร์หรือพนักงานขายได้อีกครั้ง]
(บรรยากาศภายในตัวรถ)
มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย
• S ราคา 579,500 บาท
• V ราคา 609,000 บาท
• SV ราคา 609,000 บาท
• RS ราคา 739,000 บาท
ราคาเริ่มต้นถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ถือว่าสูงกว่า ก็เพราะว่าเดิมไม่ได้เป็นรถในกลุ่ม Eco Car มาก่อน พูดง่ายๆ เหมือนอยู่ทั้งสองกลุ่มเลยเป็นช่วงราคาคาบเกี่ยวกับระหว่าง Eco Car กับ B-Segment นั่นเอง แต่จ่ายเยอะกว่าเดิมแล้วก็ต้องพิเศษกว่า
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/2xhp0xu
เห็นแล้วถูกใจไปหมด จะเลือกซื้อยังไงดี?
หลังจากอ่านรายละเอียดกันแล้ว เราก็จะเห็นว่ารถ Eco Car จะมีช่วงราคาที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ประมาณ 4.5-6.5 แสนบาท จะแตกต่างในเรื่องดีไซน์การออกแบบ ขนาดของห้องโดยสาร เครื่องยนต์ และอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ก่อนจะเลือกซื้อก็ควรจะโฟกัสก่อนว่าเราต้องการรถแบบไหน เน้นที่อะไร ถ้าเน้นความแรงของเครื่องยนต์ สมรรถนะในการขับขี่ ก็อาจจะไปดู Segment อื่นๆ ไปเลย
เพราะว่าถ้าเป็นรถกลุ่ม Eco Car แล้ว จะโดดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก การใช้งานขับรถทั่วไปของคนเมืองถือว่าตอบโจทย์อยู่ ส่วนจะเลือกใช้รถรุ่นไหนดี คงเป็นสไตล์ของแต่ละคนแล้วล่ะ บางคนมีความเป็น Brand Loyalty สูง เน้นยี่ห้อมาเป็นอันดับแรก หรือบางคนเน้นประโยชน์ใช้สอย เอาสเปครุ่นที่สนใจมาเทียบกันสัก 2-3 รุ่นก็พอ มันต้องมีรุ่นที่ชอบเป็นพิเศษอยู่แล้ว เทียบเยอะแล้วจะตัดสินใจยากกว่าเดิม
เราน่าจะได้เห็นโปรโมชั่นที่แต่ละค่ายน่าจะจัดเต็มกันไม่น้อยเลยล่ะ เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศให้กลับมาอีกครั้งนึง ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและน่าติดตามอย่างมาก ตลาดรถ Eco Car ในปีนี้บทสรุปแล้วจะเป็นยังไง
โดย MilD
รักที่จะเรียนรู้ อยู่อย่างมีชีวิตชีวา เพราะไม่ว่าโปรโมชั่นจะอยู่ที่ไหน เราต้องตามหามันให้เจอ <3
บทความ ที่คุณอาจจะสนใจ