เกิดอะไรขึ้นเมื่อ ‘หน้ากากอนามัย’ กลายเป็นปัจจัยที่คนต้องการมากที่สุดในเวลานี้!
โดย : imnat
ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรก็หาหน้ากากอนามัยนี่แหละ!
บอกเลยว่าตอนนี้กลายเป็นสินค้าหายากเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนสาเหตุและผลกระทบจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยนั้นจะมีอะไรบ้าง
ปันโปรพร้อมสรุปให้ มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันได้เลย
Highlight Topic
• สาเหตุสำคัญที่ทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาด คือการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อฐานการผลิตในประเทศจีน หนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
• คนทั่วโลกต่างพากันตื่นกลัวและต้องการหน้ากากอนามัยกันมากขึ้นเพราะความรุนแรงของเชื้อไวรัสที่สามารถคร่าชีวิตคนได้
• สำหรับประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยเช่นเดียวกัน ส่งผลทำให้หน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าควบคุมไปในที่สุด
เรียกได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่คนทั่วโลกต่างตื่นตัวในเรื่องของการดูแลตัวเองกันมาก ผิดกับก่อนหน้าที่สิ่งที่เรียกว่า "หน้ากากอนามัย" ไม่เคยอยู่ในความสนใจของคนในสังคมเลยด้วยซ้ำ แต่พอเราได้มารู้จักกับ PM 2.5 ประจวบเหมาะกับการมาของไวรัสโควิด-19 (หรือก่อนหน้านี้เราคุ้นเคยกันในชื่อ ไวรัสโคโรน่า) คนก็เริ่มหันกลับมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น สังเกตได้จากพฤติกรรมการสวมหน้ากากอนามัย รวมไปถึงความสนใจเรื่องสุขภาพ ยิ่งเป็นการย้ำเตือนให้เห็นภาพชัดเจนเลยว่า ถ้าเราไม่หันกลับมาดูแลตัวเองในตอนนี้ มันก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้ว
จากข้อมูลต่างๆ ที่ได้กล่าวไป เราคงจะพอรับรู้กันได้ถึงระดับความสำคัญของหน้ากากอนามัยกันมาเรื่อยๆ แต่บอกเลยว่ายังไม่หมดเพียงแค่นั้น ส่วนจะมีอะไรอีกบ้าง ตามไปอ่านต่อกันได้เลย...
จากวันนั้น ถึงวันนี้.. วันที่หน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าที่หายากมากที่สุด!
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าผู้คนเริ่มหันมาสนใจหน้ากากอนามัยกันอย่างจริงจังตั้งแต่ที่เรารู้จักกับเจ้าฝุ่น PM 2.5 เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ ซึ่งต่อให้เวลาจะผ่านไปสถานการณ์ของฝุ่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีความคืบหน้าขึ้นมาเลย จำได้ว่าในตอนนั้นผู้คนให้ความสนใจกับหน้ากากอนามัยแบบพิเศษที่มีคุณสมบัติในการช่วยกันฝุ่น PM 2.5 กันเยอะมาก แต่ผู้คนก็สามารถหาซื้อกันได้จนกระทั่ง...
การมาของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นการมาที่ทำให้คนทั่วโลกแตกตื่นกันมาก ถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ นั้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบมากมายอะไร แต่ประเทศต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสอย่างจีนถือได้ว่าเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่และสำคัญ พอเกิดวิกฤตจากเชื้อไวรัสระบาดขึ้นมาที ก็ส่งผลกระทบทำให้กระบวนการการผลิตในประเทศมีอันต้องหยุดชะงักลง และเมื่อเราขาดกำลังการผลิตที่สำคัญที่สุดของโลกไป ส่งผลทำให้ปริมาณหน้ากากอนามัยที่วางขายตามท้องตลาดค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ โดยที่ทุกประเทศต่างได้รับผลกระทบนี้กันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยเองเช่นเดียวกัน
อ้างอิงจากคำแถลงการณ์ของอธิบดีกรมควบคุมการค้าภายในเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมาพบว่า เมื่อยึดตามข้อมูลเดิมเกี่ยวกับโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยนั้น บอกเลยว่าแทบจะเทียบไม่ได้กับความต้องการในปัจจุบันเลยด้วยซ้ำ โดยประเทศไทยของเรามีโรงงานที่รับผลิตหน้ากากอนามัยเป็นจำนวนทั้งสิ้น 11 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตต่อวันตกวันละ 1.32 ล้านชิ้น เมื่อนำไปเทียบกับจำนวนความต้องการของคนในช่วงก่อนหน้าที่ไวรัสโควิด-19 จะระบาดนับว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ไวรัสระบาด ความต้องการก็ยิ่งสูงขึ้น ส่งผลทำให้ความต้องการจากเดิมโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านชิ้นต่อวัน พุ่งทะยานสูงถึง 6.75 ล้านชิ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว บอกเลยว่าเป็นอัตราส่วนที่ช่างแตกต่างกันเยอะเหลือเกิน แถมตัวเลขก็มีแต่จะพุ่งขึ้นๆ คำถามต่อมาก็คือแล้วเราจะจัดการอย่างไรกับปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยกันดี?
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย หลังหน้ากากอนามัยขาดตลาด
ถ้าหากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ประชาชนอย่างเราคงไม่แตกตื่นและหวาดกลัวกันขนาดนี้ โดยเฉพาะยิ่งตัวเลขของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมีแต่จะพุ่งสูงขึ้น เชื่อว่าเป็นใครก็ต้องกลัวและวิตกกังวลกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่จะป้องกันเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ เราจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้หน้ากากที่มีคุณสมบัติในการป้องกันการแพร่กระจายของเสมหะรวมไปถึงสารคัดหลั่งได้เป็นอย่างดี พอมีเงื่อนไขขึ้นมาแบบนี้เราเลยจำเป็นต้องพิถีพิถันกับสิ่งที่เรียกว่าหน้ากากอนามัยกันให้มากขึ้นกว่าเดิม
แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่อาศัยสถานการณ์วิกฤตนี้ในการพลิกให้เป็นโอกาส ด้วยการอัปราคาหน้ากากอนามัยให้อยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าเดิม (เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นผ่านตากันมาแล้ว) โดยราคาที่ขายกันนั้นก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน จากหลักพันไต่สูงขึ้นไปจนถึงหลักหมื่นเลยก็มี (ทั้งๆ ที่ต้นทุนในการรับมาก็ไม่ได้สูงถึงขั้นนั้นเลย) นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มที่อาศัยช่องทางดังกล่าวในการผลิตหน้ากากอนามัยที่ไร้คุณภาพออกมา โดยมีราคาที่ถูกมากๆ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วนั้น ต่อให้มีราคาถูกก็จริง แต่ถ้าถามว่าคุณภาพของหน้ากากที่จำหน่ายไปมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันไวรัสไหม ตอบได้เลยว่าไม่
นอกจากบุคคลทั่วไปจะได้รับผลกระทบจากการที่หน้ากากอนามัยขาดตลาดแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มที่จำเป็นที่จะต้องใช้หน้ากากอนามัยเช่นเดียวกัน อันได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ เมื่อย้อนเหตุการณ์ไปในช่วงก่อนหน้านี้ที่แพทย์จากโรงพยาบาลเอกชนกว่า 200 แห่ง ออกมาแสดงจุดยืนถึงปัญหาของการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ซึ่งเมื่อมองจากความเสี่ยง อาชีพทางการแพทย์ก็นับว่าเป็นอีกอาชีพที่น่าเป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แล้วยิ่งดันมาเกิดปัญหาหน้ากากอนามัยไม่เพียงพอกับความต้องการ เลยส่งผลทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความสะดุด ทางคณะแพทย์เลยต้องออกมาแสดงจุดยืน โดยหวังว่าจะมีทางออกสำหรับปัญหาให้กับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน
การมาของสินค้าควบคุม
พอหน้ากากอนามัยหายากขึ้น เป็นที่ต้องการมากขึ้น ราคาขายเฉลี่ยต่อแผ่นก็ยิ่งสูงขึ้น ประจวบเหมาะกับทางผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือก ต่อให้ราคาจะสูงแค่ไหน ตราบใดที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ่าย เราก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งนั้นไปได้ และเมื่อพ่อค้าแม่ค้าหลายคนหันมาขายหน้ากากอนามัยในราคาที่สูงกันจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ ทางกรมการค้าภายในเลยไม่อาจนิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดให้มีการประชุมเรื่องของราคาสินค้าและบริการขึ้น ผลปรากฏว่าหลังเสร็จสิ้นการประชุม สินค้าอันได้แก่หน้ากากอนามัย, เส้นใยโพลีโพรพิลีน ที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยรวมไปถึงเจลล้างมือได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวดสินค้าควบคุมไปในที่สุด
โดยการควบคุมดังกล่าวนี้ทางกรมการค้าภายในจะทำการควบคุมตั้งแต่ปริมาณของสินค้าและราคา แถมยังมีคำสั่งให้ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย ผู้นำเข้าและส่งออกทำการแจ้งข้อมูลเรื่องของต้นทุนในการขายเพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหาการโก่งราคาสินค้าขึ้น หากใครที่ฝ่าฝืนและพบว่ามีการกักตุนสินค้าและปรับราคาอย่างไม่เป็นธรรมจะได้ความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000.- หรือทั้งจำทั้งปรับ หากใครพบเห็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าวนี้สามารถโทรไปร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 หรือร้องเรียนโดยตรงได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด
ปัญหาเพิ่มเติมที่ตามมา
เหมือนทุกอย่างจะไปได้สวย แต่ทว่าปัญหาก็ได้เกิดตามมาหลังจากหน้ากากอนามัยถูกจัดให้อยู่ในหมวดสินค้าควบคุม นับตั้งแต่ปัญหาในเรื่องของราคาที่สูงเกินไป การกักตุนสินค้า ปัญหาเรื่องของคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาเรื่องของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีหน้ากากอนามัยใช้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ทางกรมการค้าภายในเลยได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนด้วยการจัดรถคาราวานออกจำหน่ายหน้ากากอนามัยทั่วประเทศรวมทั้งหมด 111 คัน โดยเริ่มดำเนินการไปตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการนำส่งหน้ากากอนามัยวันละ 25,000 ชิ้นให้กับทางสมาคมร้านขายยาในการนำออกมาวางจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป แต่ก็มีเรื่องขึ้นมาอีกตรงที่ว่าทางสมาคมร้านขายยาได้ออกมาแถลงการณ์ถึงข้อเท็จจริง ว่าทางสมาคมไม่เคยได้รับหน้ากากอนามัยจากกรมการค้าภายในเลย จึงขอเรียกร้องให้กรมการค้าภายในช่วยดำเนินการตามที่เห็นในข่าวด้วย
ส่วนทางโรงพยาบาลรามาธิบดีเองถึงขนาดขอรับบริจาคหน้ากากอนามัยกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยให้การยืนยันเลยว่าหน้ากากอนามัยทุกชิ้นจะส่งตรงถึงบุคลากรภายในโรงพยาบาลแน่นอน สำหรับปริมาณหน้ากากอนามัยที่เพียงพอกับความต้องการต่อสัปดาห์นั้นจะอยู่ที่ 60,000 ชิ้น โดยผู้ที่สนใจสามารถนำหน้ากากอนามัยมาบริจาคกันได้ที่ งานบริหารโรงพยาบาลรามาธิบดี (ชั้น2 อาคารบริหาร) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เลขที่ 270 ถนนพระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 โทร 02-201-1213 , 02-201-1063
จากเรื่องปริมาณและราคา บอกเลยว่าเรื่องคุณภาพเองก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่างที่เราเห็นกันในข่าวว่ามีพ่อค้าแม่ค้าหัวหมอนำหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายให้กับประชาชน โดยที่ประชาชนที่ซื้อไปก็ไม่ได้ทราบข้อมูลของตัวหน้ากากเลยด้วยซ้ำว่าสามารถกันไวรัสได้จริงหรือไม่ ยังไงในระหว่างที่หน้ากากอนามัยอยู่ในสภาวะขาดตลาดในตอนนี้ ทุกคนต้องตั้งสติก่อนจะซื้อกันให้ดีๆ พยายามสอบถามรายละเอียดให้มากๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองนะจ๊ะ
การเอาตัวรอดในระหว่างที่หน้ากากอนามัยขาดตลาด
มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดกันอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ปัญหาจะลุกลามใหญ่โตไปมากแค่ไหน เชื่อว่าท้ายที่สุดพวกเราคงจะมีทางออกให้กับปัญหานั้น และจากสถานการณ์หน้ากากอนามัยขาดแคลนนี้ เราจะเห็นการแก้ปัญหาของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปนับตั้งแต่การประยุกต์หันมาใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าแทน ถึงคุณสมบัติจะไม่ได้ดีเยี่ยมเท่า แต่ก็ดีกว่าการไม่สวมอะไรเลย หรืออย่างบางคนยอมจ่ายแพงกว่าในการซื้อหน้ากากอนามัยที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาใช้แทน นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐและเอกชนอื่นๆ ในการสรรหาและจัดการปริมาณหน้ากากอนามัยให้เพียงพอกับความต้องการ อาทิ การเปิดตัวโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแห่งใหม่ของ CP และการประกาศงดขายหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนขององค์กรเภสัชฯ เพื่อที่จะนำหน้ากากอนามัยที่มีอยู่แจกจ่ายไปให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน เป็นต้น
แต่ยังไงก็ตามเชื่อว่าหลังจากนี้เราคงจะเห็นความคืบหน้าของเจ้าหน้ากากอนามัยกันมากขึ้น เพราะเราคงได้บทเรียนอะไรไปไม่น้อยจากสถานการณ์วิกฤตของหน้ากากอนามัยในตอนนี้ ทั้งรัฐและเอกชนคงจะมีแผนการดีๆ ผุดขึ้นมามากมายในอนาคตอันใกล้ ยังไงตอนนี้พวกเราทั้งหลายคงได้แต่เยียวยา หาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเองกันไปก่อน และอย่าลืมดูแลสุขภาพกันให้ดีๆ ถ้าไม่มีหน้ากากอนามัยที่กันไวรัสได้จริงๆ แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้า แล้วหาแผ่นกรองมาใส่ไว้ด้านในก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง หากใครมีข้อมูลอะไรอยากจะเสนอแนะ หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม สามารถคอมเมนต์กันเข้ามาได้เลยน้า แล้วเราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน สู้!
ปันโปรสรุปให้
• ไม่เรียกเข้าขั้นวิกฤตก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว กับสถานการณ์หน้ากากอนามัยขาดแคลนในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไปอย่างเดียว บุคลากรทางการแพทย์ก็นับว่าเผชิญปัญหาใหญ่เช่นเดียวกัน
• สำหรับใครที่หาหน้ากากอนามัยไม่ได้จริงๆ แนะนำให้เลือกใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้า ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับแบบกันไวรัส แต่ก็ดีกว่าไม่สวมหน้ากากเลยน้า
• หากใครที่ฝ่าฝืนและพบเห็นการกักตุนสินค้าและปรับราคาอย่างไม่เป็นธรรมจะได้ความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000.- หรือทั้งจำทั้งปรับนะ!
- ขอบคุณแหล่งที่มาจาก BBC Thai, Thairath และฐานเศรษฐกิจ -
โดย imnat
เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)